ความเกลียดกลัวอิสลามโดยไม่มีสาเหตุตัดโอกาสการทำงานของมุสลิมอังกฤษ

16 ก.ย. 2017

527

สื่อ The Guardian รายงานอ้างผลการทำวิจัยให้หน่วยงานเฝ้าระวังด้านสังคมของรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งระบุว่า มุสลิมอังกฤษทั้งขาย-หญิง ถูกสกัดกั้นจากการได้เข้าทำงานเต็มเวลาในออฟฟิสต่างๆ ด้วยเหตุผลจากการเกลียดกลัวอิสลามโดยไม่มีสาเหตุ จากความคิดเหยียดเชื้อชาติ และการเลือกปฏิบัติ

แม้ผลวิจัยจะเปิดเผยว่า ชาวมุสลิมมีหลักจริยธรรมสูง และมีความยืดหยุ่นในการทำงาน ซึ่งส่งผลให้เกิดความน่าประทับใจ แต่สิ่งนี้กลับไม่สามารถนำมาชักจูงให้อยากมีการจ้างมุสลิมเข้าทำงานในสำนักงานต่างๆ โดยการวิจัยพบว่า มีการจ้างงานมุสลิมทำงานเต็มเวลาในออฟฟิสเพียง 6 % เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนในภาพรวมของประชากรในอังกฤษ และเวลส์ ซึ่งมีการจ้างงาน 10 %

ผลการวิจัยยังพบว่า ร้อยละ 19.8 ของมุสลิมอายุระหว่าง 16 – 74 ปี ถูกจ้างทำงานเต็มเวลา ในขณะที่เมื่อเปรียบเทียบในภาพรวมของประชากร มีจำนวนร้อยละ 34.9

การวิจัยยังพบหลักฐานที่ว่า ผู้หญิงถูกสังคมส่งเสริมให้มุ่งคิดถึงการแต่งงาน และการเลี้ยงดูบุตร มากกว่าการทำงานเต็มเวลา โดยในภาพรวม ร้อยละ 18 ของหญิงมุสลิมอายุระหว่าง 16 – 74 ปี ได้รับการบันทึกว่า ทำหน้าที่ดูแลบ้านและครอบครัว ในขณะที่ในภาพรวมของประชากรหญิงทั้งหมดของประเทศ มีเพียงร้อยละ 6

นักวิชาการ ได้กล่าวถึงอุปสรรคที่กั้นขวางความสำเร็จของมุสลิม อาทิ นักเรียนมุสลิมต้องเผชิญกับความเกลียดกลัวโดยไม่มีสาเหตุ ครูไม่ให้ความสนใจ การขาดแคลนมุสลิมที่จะเป็นแบบอย่างในชั้นเรียน / ชื่อที่ออกสำเนียงแบบมุสลิม มักจะไม่ได้รับการเรียกเข้ารับการสัมภาษณ์ / การสวมผ้าคลุมมักจะก่อให้เกิดอคติในสถานที่ทำงาน

อลัน มิลเบิร์น อดีตสมาชิกคณะรัฐมนตรี ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานคณะกรรมาธิการติดตามความเคลื่อนไหวทางสังคม กล่าวว่า กรรมาธิการเคยให้คำมั่นว่า การทำงานหนักจะต้องได้รับรางวัลตอบแทน แต่น่าเสียใจสำหรับหนุ่ม-สาวมุสลิมในอังกฤษ ที่คำมั่นนั้นใช้ไม่ได้ผลเสียแล้ว

มิลเบิร์น เรียกร้องให้รัฐบาล ชุมชน สถาบันการศึกษา และผู้จ้างงาน ดำเนินการในเรื่องนี้ โดยว่า หนุ่ม-สาวมุสลิมเอง ระบุว่า สิ่งกั้นขวางทางวัฒนธรรมในชุมชน อคติในระบบการศึกษา และตลาดแรงงาน เป็นอุปสรรคใหญ่หลวงสำหรับพวกเขา เฉพาะหญิงมุสลิมต้องเผชิญกับความท้าทาย ในการรักษาอัตลักษณ์ ในขณะที่ต้องพยายามถีบตัวเองให้ประสบความสำเร็จในสังคมยุคใหม่ของอังกฤษ

ศาสตราจารย์ จาคเกอลีน สตีเฟนสัน จากมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ ฮอลแลม ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้ทำวิจัยชิ้นนี้ กล่าวว่า มุสลิมถูกกันออกนอกสังคม ถูกมองด้วยอคติ หรือต้องประสบความล้มเหลวในทุกขั้นตอน ระหว่างเส้นทางเปลี่ยนผ่านเมื่อจบการศึกษาสู่ชีวิตการทำงาน ซึ่งหากนำมารวมๆ กันแล้ว ปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อการเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างสูง

สตีเวนสัน ยังกล่าวว่า การวิจัยชี้ให้เห็นว่า กิจวัตรประจำวันของหญิง-ชายมุสลิม อาจทำให้พวกเขาไม่ได้งานที่สอดคล้องกับทักษะ และคุณวุฒิ มุสลิมหลายกลุ่มร่วมแบ่งปันประสบการณ์ของพวกเขา เช่น หญิงคนหนึ่งเล่าว่า พ่อของเธอแนะนำให้เปลี่ยนชื่อเพื่อจะได้หางานทำง่ายขึ้น / หญิงคนหนึ่งตอบคำถามในการวิจัย โดยอ้างถึงทัศนะที่เธอได้ยินมา เช่น “เขาดูเป็นมุสลิมมาก” หรือ “ดูเธอสิ ใส่ผ้าคลุมผมด้วย” เป็นต้น