
นายอัล ฮุสเซน ยังเรียกร้องให้นำตัวผู้ที่โจมตีกองกำลังรักษาความมั่นคงและพลเรือนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการกระทำที่กระตุ้นให้เกิดความรุนแรง
นายเซอิด ราอัด อัล ฮุสเซน ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า การละเมิดสิทธิอย่างเป็นระบบต่อชาวมุสลิมโรฮิงญาเป็นเวลาหลายสิบปี เป็นเหตุหลักของความรุนแรงที่ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ในรัฐยะไข่ของเมียนมา ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการนองเลือดได้
ถ้อยแถลงของนายอัล ฮุสเซน มีขึ้นหลังเกิดการสู้รบในรัฐยะไข่ ตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ (25ส.ค.) หลังจากผู้ก่อการร้ายโรฮิงญาซุ่มโจมตีกองกำลังรักษาความมั่นคงของเมียนมาพร้อมกันหลายจุดทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 คน และทำให้ชาวโรฮิงญาอย่างน้อย 8,700 คน พยายามหลบหนีไปบังกลาเทศ
ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนของยูเอ็น ระบุว่า “ขอประณามการโจมตีอย่างรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงที่นำไปสู่การสูญเสียชีวิตและการผลัดถิ่นของผู้คนหลายพันชีวิต”
ที่ผ่านมา ชาวโรฮิงญามักหลบเลี่ยงความรุนแรง แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว เมื่อกลุ่มติดอาวุธโรฮิงญาโจมตีด่านชายแดนตำรวจเมียนมา และทหารได้ตอบโต้เหตุโจมตีดังกล่าวด้วยปฏิบัติการกวาดล้างรุนแรงที่สหประชาชาติเตือนว่าอาจเทียบได้กับการล้างเผ่าพันธุ์ และกลุ่มก่อการร้ายเปิดฉากโจมตีด่านตำรวจประมาณ 30 แห่ง และสังหารเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงอย่างน้อย 12 นาย ด้วยมีด ระเบิดแสวงเครื่อง และปืน
นายอัล ฮุสเซน ยังเรียกร้องให้นำตัวผู้ที่โจมตีกองกำลังรักษาความมั่นคงและพลเรือนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการกระทำที่กระตุ้นให้เกิดความรุนแรง
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " ยูเอ็นชี้ละเมิดสิทธิโรฮิงญาต้นตอความรุนแรงในยะไข่ "