ยูเอ็นอพยพเจ้าหน้าที่บางส่วนออกจากรัฐยะไข่

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 ส.ค.ว่านายงี ปุน มุขมนตรีรัฐยะไข่ ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมียนมา กล่าวว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอำนวยความสะดวกด้านความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่ขององค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง รวมถึงเจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) ในการเดินทางออกจากพื้นที่ของรัฐยะไข่

นายงี ปุน มุขมนตรีรัฐยะไข่

ขณะเดียวกัน นายปุนกล่าวว่าการอพยพออกจากพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ยูเอ็นและองค์กรระหว่างประเทศในครั้งนี้ไม่ใช่การกดดันจากรัฐบาลเมียนมา เนื่องจากกองทัพคุ้มครองความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่เหล่านี้ "เป็นอย่างดีที่สุด" อยู่แล้ว แต่เตือนว่าท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันไม่มีใครสามารถรับรองได้อย่างเต็มร้อย เพราะมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 คนแล้ว

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังรัฐบาลเมียนมาประกาศว่า กำลังสอบสวนว่ามีเจ้าหน้าที่ของ "องค์กรระหว่างประเทศที่ไม่ใช่หน่วยงานรัฐ"  มีส่วนพัวพันกับสถานการณ์รุนแรงรอบใหม่ในรัฐยะไข่หรือไม่ พร้อมทั้งเปิดเผยภาพถุงบรรจุขนมปังกรอบที่มีตราสัญลักษณ์ของโครงการอาหารโลก ( ดับเบิลยูเอฟพี ) ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านอาหารภายใต้การกำกับดูแลของยูเอ็น ที่หน่วยงานด้านความมั่นคงอ้างว่าพบที่ "ค่ายที่พักของกลุ่มก่อการร้าย" ในพื้นที่

ด้านทำเนียบรัฐบาลของนางออง ซาน ซูจี มนตรีแห่งรัฐ ออกแถลงการณ์ฉบับใหม่ในวันเดียวกัน กล่าวหา "กลุ่มก่อการร้ายชาวเบงกาลี" ใช้เด็กเป็นโล่มนุษย์ และจุดไฟเผาทำลายบ้านเรือนของประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ รัฐบาลเมียนมารายงานการอพยพพลเรือน "ที่ไม่ใช่ชาวมุสลิม" ราว 4,000 คนออกจากรัฐยะไข่ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ท่ามกลางสถานการณ์สู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกลุ่มติดอาวุธสังกัดกองทัพกอบกู้โรฮีนจาแห่งอาระกัน ( อาร์ซา ) ซึ่งเกิดขึ้นหลังมีเหตุกลุ่มคนร้ายโจมตีจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในรัฐยะไข่ มากกว่า 30 แห่ง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ส่วนกลุ่มอาซาเผยแพร่แถลงการณ์เตือนว่าจะมีการก่อเหตุอีกหลายระลอก

ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของบังกลาเทศเดินหน้าเรียกร้องให้รัฐบาลเมียนมาเร่งควบคุมสถานการณ์ในครั้งนี้ ที่รุนแรงและนองเลือดที่สุดนับตั้งแต่กลุ่มติดอาวุธสังหารตำรวจ 9 นายในรัฐยะไข่ เมื่อเดือนต.ค. ปีที่แล้ว ส่งผลให้ทหารเมียนมายกกำลังเข้าไป "ปฏิบัติการกวาดล้างด้านความมั่นคง" นานหลายเดือน ก่อนเริ่มผ่อนกำลังเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเกิดเหตุครั้งใหม่.

คลิปประกอบ : Euronews