บังกลาเทศจี้เมียนมาเร่งคุมเหตุนองเลือดรอบใหม่ในรัฐยะไข่

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 27 ส.ค.ว่ารัฐบาลเมียนมารายงานจำนวนผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์รุนแรงรอบล่าสุดในรัฐยะไข่ ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เพิ่มเป็นอย่างน้อย 96 คน นับตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา โดยในจำนวนนี้อย่างน้อย 80 คนเป็นสมาชิกกลุ่มติดอาวุธ “ชาวเบงกาลี” พร้อมกันนี้ต้องมีการอพยพเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย

ขณะเดียวกันมีรายงานชาวโรฮีนจาราว 3,000 คนพยายามเดินเท่าข้ามแม่น้ำนาฟ ซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติกั้นระหว่างเมียนมากับบังกลาเทศ และยังมีชาวโรฮีนจาอีกหลายร้อยคนพยายามข้ามพรมแดนผ่านทางหมู่บ้านกุมธุมด้วย แต่หน่วยลาดตระเวนของบังกลาเทศรายงานว่าได้ยินเสียงปืนดังมาจากฝั่งของเมียนมา และเชื่อเป็นความพยายามของทหารเมียนมาในการสังหารชาวโรฮีนจา ด้านกระทรวงการต่างประเทศของบังกลาเทศเรียกร้องเมียรมาเร่งควบคุมสถานการณ์ เพื่อป้องกันการเกิดคลื่นผู้อพยพชาวโรฮีนจา

ในเวลาเดียวกัน นางออง ซาน ซูจี มนตรีแห่งรัฐของเมียนมา ประณามสถานการณ์รุนแรงรอบล่าสุดที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่ ว่าเป็น “การวางแผนล่วงหน้าเป็นอย่างดี ของกลุ่มบุคคลที่มุ่งหวังทำลายกระบวนการสร้างสันติภาพ” เนื่องจากเกิดขึ้นในวันเดียวกับที่นายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) ในฐานะหัวหน้าคณะกรรมการที่ปรึกษาเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งในรัฐยะไข่ เรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายสิทธิพลเมืองฉบับปี 2525 ที่เป็นการปฏิเสธมอบสัญชาติให้กับชาวโรฮีนจามากกว่า 1 ล้านคน การควบคุมการลงทุนทางเศรษฐกิจในรัฐยะไข่ และจำกัดเสรีภาพของสื่อมวลชนในการทำข่าวในพื้นที่ขัดแย้ง โดยอดีตเลขาธิการยูเอ็นเชื่อว่าการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวจะช่วยบรรเทาความรุนแรงในรัฐยะไข่ และปูทางสู่กระบวนการฟื้นฟูสันติภาพครั้งใหม่ได้

ทั้งนี้ บรรยากาศที่เกิดขึ้นในตอนนี้ถือเป็นสถานการณ์นองเลือดที่สุดในรัฐยะไข่ นับตั้งแต่เกิดเหตุกลุ่มหัวรุนแรงสังหารตำรวจ 9 นายในรัฐยะไข่เสียชีวิตเมื่อเดือนต.ค.ปีที่แล้ว หลังจากนั้นกองทัพเมียนมาส่งทหารปิดล้อมรัฐยะไข่เพื่อ “ปฏิบัติการด้านความมั่นคง” โดยรัฐบาลเผยจำนวนผู้เสียชีวิตจากปฏิบัติการครั้งนี้ไว้ที่ “89 คน” แต่ยูเอ็นและองค์กรสิทธิมนุษยชนเชื่อว่าจำนวนผู้เสียชีวิตในความเป็นจริงสูงกว่านั้นมาก และมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนักหน่วงจนถึงปัจจุบัน.