
ครั้งหนึ่งเมื่อปี ค.ศ.2007 บริษัท Euromonitor International ได้รายงานว่าวงการท่องเที่ยวแบบฮาลาลกำลังจะเติบโตและมาแรงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ และมันก็เป็นจริงไปตามคาดเมื่อจำนวนนักท่องเที่ยวชาวมุสลิมทั่วโลกเริ่มเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
รายงานชิ้นหนึ่งโดยศูนย์ข่าว Reuters ในปี ค.ศ.2014 ระบุว่านักท่องเที่ยวชาวมุสลิมทั่วโลกมีการจับจ่ายใช้สอยเพื่อการท่องเที่ยวและพักผ่อนซึ่งไม่รวมถึงการไปประกอบพิธีฮัจญ์และอุมเราะห์มากถึง 1,420 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ แค่นักท่องเที่ยวชาวจีนก็ใช้จ่ายไปร่วม 1,600 ล้านดอลล่าร์สหรัฐแล้ว ในขณะที่นักท่องเที่ยวชาวอเมริกันใช้จ่ายไปประมาณ 1,430 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ทั้งสองประเทศนี้จึงครองอันดับประเทศที่มีการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวมากสูงสุดในบรรดาขาเที่ยวชาวมุสลิมทั้งหมดทั่วโลกรวมกัน การท่องเที่ยวแบบฮาลาลในปีนั้นจึงถือเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดเป็นลำดับสาม ซึ่งคิดเป็น 11% ของจำนวนเงินที่ใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวโดยรวมทั้งหมดในปีค.ศ.2014 ที่ผ่านมา
ต่อมาในปี ค.ศ.2016 อ้างอิงจากข้อมูลดัชนีการท่องเที่ยวของชาวมุสลิมทั่วโลก (GMTI) ระบุว่านักท่องเที่ยวชาวมุสลิมใช้จ่ายไปทั้งสิ้น 1,550 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งจำนวนดังกล่าวนี้คิดเป็น 13% ของค่าใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวโดยรวมของประชากรทั่วโลกกันเลยทีเดียว
ประเทศมาเลเซียถือเป็นตัวเลือกยอดนิยมอันดับหนึ่งสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวฮาลาล ประเทศนี้ครองตำแหน่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ “เป็นมิตรต่อชาวมุสลิม” ในขณะที่ประเทศอื่นที่จัดว่าติดอันดับยอดนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวมุสลิมไม่แพ้กันคือ ประเทศสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรต, อินโดนีเซีย, ตุรกี, ซาอุดีอาระเบีย, และกาตาร์
สถิติชี้ให้เห็นว่าในแต่ละปีมีการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวมุสลิมในระดับคงเส้นคงวา นับตั้งแต่ 117 ล้านคนโดยประมาณในปี ค.ศ. 2015 ไปจนถึง 121 ล้านคนในปี ค.ศ. 2016 โดยภายในปีค.ศ. 2020 นั้นถูกคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวทะลุเป้าเกิน 168 ล้านคนทั่วโลก
ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในสหรัฐอเมริกาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กอปรกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เป็นผลพวงจากการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี Donald Trump ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวจึงตั้งข้อสังเกตไว้ว่าน่าจะมีแนวโน้มการลดลงของธุรกิจท่องเที่ยวฮาลาลในสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ทวีปแอฟริกานั้นดูเหมือนจะได้รับประโยชน์จากการปิดกั้นการเข้ามาของชาวมุสลิมตามด่านตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐอเมริกา ซึ่งปรากฏว่ามีการหลั่งไหลของนักท่องเที่ยวมุสลิมเข้าไปยังทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะที่ประเทศโมร็อคโคและอียิปต์ ในส่วนของประเทศเคนย่าซึ่งถือเป็นอีกประเทศหนึ่งที่พยายามทุ่มทุนกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศเป็นอย่างมากนั้น ก็ได้วางแผนที่จะเปิดตัวโรงแรมแบบฮาลาลขึ้นในปี ค.ศ.2018 เพื่อส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวชาวมุสลิมเข้ามาท่องเที่ยวในทวีปแอฟริกามากขึ้นเช่นกัน
การท่องเที่ยวแบบฮาลาลที่กำลังเติบโตและมาแรงในขณะนี้สามารถบ่งบอกได้ว่าชาวมุสลิมนั้นเริ่มหันมาท่องเที่ยวกันมากขึ้น และพร้อมที่จะค้นหาจุดหมายปลายทางใหม่ๆ ได้ทุกเมื่อ ตราบใดที่แหล่งท่องเที่ยวแห่งนั้นมีวัฒนธรรมฮาลาลที่อบอุ่นคอยต้อนรับผู้มาเยือน
ในขณะเดียวกันจะเห็นได้ว่าทางฝั่งทวีปแอฟริกาใต้นั้นก็ได้พยายามจัดวางตำแหน่งตัวเองให้เป็นศูนย์รวมแหล่งท่องเที่ยวแบบฮาลาลที่น่าสนใจเช่นกัน ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงที่แห่งนี้มีมุสลิมอาศัยอยู่เพียง 2% ของจำนวนประชากรทั้งหมดเท่านั้น โดยแหล่งข้อมูลอย่าง StayHalal และตลาดฮาลาลที่เจริญก้าวหน้าตลอดจนร้านอาหารฮาลาลต่างๆ นั่นเองที่ทำให้แอฟริกาใต้ได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดฮอตสำหรับชาวมุสลิมทั่วโลกในขณะนี้
ในส่วนของประเทศไต้หวันที่แม้จะเป็นประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธนั้น ก็สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวมุสลิมได้มากถึง 30,000 คนต่อปี และยังคงมองหาช่องทางที่จะเพิ่มปริมาณขึ้นอีกในอนาคต ปัจจุบันไต้หวันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวฮาลาลยอดนิยมสำหรับชาวมุสลิมหลายคน เกาะเล็กๆ แห่งนี้ยังได้วางมาตรการและการเตรียมการต่างๆ อย่างเข้ารูปเข้ารอยอาทิ กฎเกณฑ์และการตรวจสอบเกี่ยวกับอาหารฮาลาล มัสยิดที่เอื้ออำนวยในการประกอบศาสนกิจ ตลอดจนข้อมูลข่าวสารและตารางสื่อพิมพ์เพื่อบอกเวลาการละหมาดและกิจกรรมทางศาสนา โดยขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้ได้ถูกนำมาเสนอเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ไต้หวันได้กลายเป็นประเทศที่ต้อนรับแขกต่างชาติชาวมุสลิมเพิ่มมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้นไต้หวันยังได้สร้างจุดขายด้วยการนำเสนอว่ามีมัสยิดและแหล่งอาหารฮาลาลกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ โดยได้รับการรับรองจากสมาคมร่วมพัฒนาแห่งประเทศไต้หวัน (Taiwan Integrity Development Association) ที่นำมาตรการระบบการให้คะแนนระดับฮาลาลที่แปลกใหม่มาใช้ (Crescent Rating System) ไต้หวันคาดหวังว่าจะมีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวมุสลิมมากถึง 100,000 คนจากทั่วทุกมุมโลกภายในปลายปี ค.ศ. 2017 นี้
รายงานฉบับหนึ่งของ Anadolu ซึ่งตีพิมพ์เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตและกำลังการผลิตที่เห็นได้ชัดของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฮาลาล ดังที่คาดการณ์ว่าน่าจะทำยอดรายได้สูงสุดถึง 2,200 ล้านดอลล่าร์สหรัฐในปี ค.ศ.2020 และไต่ทะลุเป้าถึง 3,000 ล้านดอลล่าร์ภายในปี ค.ศ. 2026 นี้
แปลและเรียบเรียงโดย : Andalas Farr
ที่มา : Halal tourism keeps getting stronger
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " สถิติชี้ ท่องเที่ยวฮาลาลเติบโตต่อเนื่อง "