ขายเว็บนี้ ติดต่อ LINE : 0895172266
วันจันทร์, 20 พฤษภาคม 2567

ชาวซาอุฯนับหมื่นลงรายชื่อร้องริยาด ยกเลิก กม.บังคับหญิงซาอุฯ ต้องขออนุญาตผู้ชาย “ดำเนินชีวิตปกติ”

FILE - In this Saturday, March 21, 2009 file photo, Saudi women look at jewelry at a gold fair in Riyadh, Saudi Arabia. Human rights group Amnesty International says Saudi authorities have used an iron grip to consolidate power and unleashed a ruthless campaign of persecution against peaceful activists to silence criticism of the state. (AP Photo/Hassan Ammar, File)

เคลื่อนไหวเพื่อความเท่าเทียม ชาวซาอุฯนับหมื่นลงรายชื่อร้องริยาด ยกเลิก กม.บังคับหญิงซาอุฯ ต้องขออนุญาตผู้ชาย “ดำเนินชีวิตปกติ” 

เอเจนซีส์ – ประชาชนแดนเศรษฐีน้ำมัน 14,682 คนได้ร่วมลงนามในคำร้องออนไลน์ยื่นต่อรัฐบาลริยาด เพื่อขอให้ยกเลิกการบังคับใช้ “กฎหมายผู้ปกครองสตรีซาอุฯ” ที่ได้กำหนดให้พลเมืองสตรีซาอุฯ ต้องได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากญาติเพศชายในการดำเนินชีวิตตามปกติ รวมไปถึงการเดินทาง และการแต่งงาน

หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนรายงานเมื่อวานนี้ (26 ก.ย.) ว่า อาซิซา อัล-ยูเซฟ (Aziza Al-Yousef) นักเคลื่อนไหวต่อสู้ยกเลิกระบบกฎหมายผู้ปกครองสตรีซาอุฯพร้อมกับกลุ่มนักเคลื่อนไหวอื่นๆ มานานนับสิบปีได้กล่าวว่า “สตรีซาอุฯ สมควรที่จะได้รับการปฎิบัติในฐานะพลเมืองเต็มขั้นเหมือนคนอื่น”

และอัล-ยูเซฟยังได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมกับเดอะการ์เดียนว่า “นี่ไม่ใช่เป็นแค่ปัญหาของสตรีเท่านั้น เพราะนี่ยังเป็นความกดดันต่อพลเมืองเพศชายซาอุฯ ทั่วไปด้วยเช่นกัน”

ทั้งนี้ สื่ออังกฤษรายงานว่า ภายใต้กฎหมายปัจจุบันของแดนเศรษฐีน้ำมัน พลเมืองเพศหญิงจำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองซึ่งเป็นเพศชายในการที่เธอเหล่านั้นจะสามารถเดินทางไปยังที่ต่างๆ สมรส หรือแม้กระทั่งการออกมาจากเรือนจำ และนอกจากนี้ยังพบว่า สตรีซาอุฯ เหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากผู้คุ้มครองเพศชายเพื่อที่จะได้รับอนุญาตในการได้รับการว่าจ้าง หรือการเข้าถึงระบบรักษาพยาบาล เป็นต้น

และการเป็นผู้ปกครองจะอยู่ในรูปของบิดา หรือสามี หากพลเมืองหญิงซาอุฯนั้นอยู่ในสถานภาพสมรส ในขณะที่หญิงหม้ายเนื่องมาจากสามีเสียชีวิต จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากบุตรชายของตัวเองในกรณีที่หญิงหม้ายผู้นั้นไม่สามารถหาญาติชายคนอื่นๆ ที่มีอายุไล่เลี่ยกันได้

สื่ออังกฤษรายงานต่อว่า แต่ทว่าในไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการเรียกร้องกดดันเพิ่มมากขึ้นให้มีการยุติระบบผู้ปกครองชายนี้ ซึ่งพบว่านักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีซาอุฯ อัล-ยูเซฟร่วมกับนักเคลื่อนไหวคนอื่นๆจัดให้มีเวิร์กช็อปและการศึกษาถึงความเกี่ยวข้องของศาสนาของระบบกฎหมายผู้ปกครองสตรีซาอุฯ 5 ปีก่อนหน้านี้ และผลสำเร็จของการรณรงค์ได้เกิดขึ้นในหน้าร้อนปีนี้ หลังจากกลุ่มฮิวแมนไรท์วอช HRW ได้ออกรายงานเกี่ยวกับระบบกฎหมายละเมิดสิทธิสตรีของซาอุฯ นี้อย่างละเอียด

ด้านฮาลา อัลโดซารี (Hala Aldosari) นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพสตรี ซึ่งเป็นผู้เขียนคำร้อง และยังร่วมอยู่ในรายงานของฮิวแมนไรต์วอตช์ ได้เปิดเผยว่า #รณรงค์เรียกร้องได้รับการตอบรับในหมู่สตรีจากทุกวัย และทุกสถานะ

เดอะการ์เดียนรายงานต่อว่า ในช่วงเวลา 2 วันที่มีการยื่นคำร้องออนไลน์ไปยังรัฐบาลซาอุฯ มีการคาดว่าผู้หญิงจำนวน 2,500 คนได้ส่งโทรเลขโดยตรงไปถึงสำนักงานของกษัตริย์ซาอุดีอาระเบียเพื่อร้องขอให้พระองค์ยุติระบบผู้ปกครองชายอุปถัมภ์ในราชอาณาจักรนี้เสีย ซึ่งคำร้องขอการยกเลิกกฎหมายผู้ปกครองสตรีซาอุฯ มีผู้ร่วมลงรายชื่อถึง 14,682 คน หลังจากที่ได้มีการเผยแพร่ผ่านทวิตเตอร์ อัลโดซารีแถลง

หลังจากที่คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้พิจารณา ซาอุดีอาระเบียยอมรับปากที่จะยกเลิกระบบกฎหมายผู้ปกครองสตรีถึง 2 ครั้งที่ผ่านมา เกิดขึ้นในปี 2009 และอีกครั้งในปี 2013 แต่กระนั้นพบว่า ทางริยาร์ดได้ทำการปฎิรูประบบนี้แทน เป็นต้นว่า ทำให้ระบบการขออนุญาตจากญาติฝ่ายชายง่ายเข้าเพื่อช่วยให้สำหรับพลเมืองสตรีซาอุฯ สามารถได้รับการว่าจ้าง รวมไปถึงการแต่งตั้งให้สตรีเข้ามามีตำแหน่งนั่งในบอร์ดที่ปรึกษาของกษัตริย์ซาอุดีอาระเบีย นอกจากนี้ยังได้เปลี่ยนกฎเกณฑ์ เปิดโอกาสให้พลเมืองสตรีซาอุฯสามารถมีสิทธิ์การลงคะแนนเลือกตั้งทางการเมือง และสามารถลงสมัครในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น

ด้านผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐฯ ฮามิด เอ็ม ข่าน (Hamid M Khan) ผู้ช่วยผู้อำนวยการ The Rule of Law Collaborative ประจำมหาวิทยาลัยเซาท์ แคโรไลนา ให้คว่มเห็นว่า ในความจริงแล้วมีสมาชิกราชวงศ์ซาอุฯจำนวนมากต่างเปิดใจต่อการปฏิรูป แต่ทว่าศาสนจารย์ระดับสูงของซาอุฯกลับเป็นผู้ที่ขัดขวางแนวความคิดนี้

อย่างไรก็ตาม อัล-ยูเซฟ นักเคลื่อนไหวสตรีผู้เรียกร้องเพื่อความเท่าเทียมของพลเมืองหญิงชาวซาอุฯได้ให้ความเห็นต่อเดอะการ์เดียนเพิ่มเติมว่า ในคำร้องนี้ยังมีรายชื่อของศาสนจารย์ผู้มีชื่อเสียงได้ร่วมลงนามเรียกร้องเช่นกัน โดยระบุว่า ความเชื่อของคนเหล่านี้ชี้ไปในทิศทางที่ว่า ระบบการให้ชายต้องเป็นผู้ปกครองสตรีนั้นไม่ได้อยู่บนพื้นฐานทางหลักกฎหมายศาสนาอิสลาม และสอดคล้องกับอัลโดซารีที่ได้ยืนยันว่ามีนักศาสนจารย์จำนวนมากออกมาหลังการเคลื่อนไหวในวันที่ 26 ตุลาคม 2013 ของบรรดาสตรีซาอุฯ ที่เรียกร้องต้องการสิทธิในการขับรถ

“พวกเขาต่างประกาศว่านี่ไม่ใช่ศาสนา แต่เป็นสิ่งที่รัฐบาลซาอุฯประกาศออกมาเพื่อใช้เป็นกฎหมาย และสิ่งนี้สมควรต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง” อัล-ยูเซฟ กล่าวทิ้งท้าย

ที่มา:Manager Online