ขายเว็บนี้ ติดต่อ LINE : 0895172266
วันพุธ, 22 พฤษภาคม 2567

สหรัฐฯ ‘รับ’ อาจถล่ม ‘ที่มั่น รบ.ซีเรีย’ คนตาย 62 เพราะ ‘เข้าใจผิด’

559000009719201

 

  เอเอฟพี/รอยเตอร์ – กลุ่มพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ ออกมายอมรับว่าคงจะเข้าโจมตีที่มั่นของกองทัพซีเรียด้วยความผิดพลาดเมื่อวันเสาร์ (17 ก.ย.) ที่ผ่านมา ขณะที่รัสเซียเรียกร้องคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเปิดการประชุมฉุกเฉินเพื่อหารือถึงเหตุถล่มทางอากาศ 4 เที่ยวคราวนี้ ซึ่งทำให้ทหารเสียชีวิตไปอย่างน้อย 62 ราย

การโจมตีคราวนี้ยังบังเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่ความตึงเครียดทางการทูตระหว่างมอสโกกับวอชิงตันกำลังไต่ระดับเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ภายในช่วงระยะเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ที่ทั้งสองฝ่ายร่วมเป็นคนกลาง ประกาศให้ฝ่ายรัฐบาลซีเรียกับฝ่ายกบฏที่มิใช่พวกนักรบญิฮาดสุดโต่งหยุดยิงกัน ในความพยายามที่จะยุติสงครามนองเลือดที่ดำเนินมา 5 ปีในประเทศตะวันออกกลางแห่งนี้

พวกเจ้าหน้าที่อเมริกันแถลงว่า กลุ่มพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯ ซึ่งกำลังทำการสู้รบอยู่กับกลุ่ม “รัฐอิสลาม” (ไอเอส) อาจจะได้ทำการโจมตีที่มั่นทางทหารของฝ่ายรัฐบาลซีเรียไปหลายแห่งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรีย

“กองกำลังอาวุธของกลุ่มพันธมิตรเชื่อว่าพวกเขากำลังโจมตีที่มั่นสู้รบของพวกดาเอชแห่งหนึ่ง” คำแถลงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุ โดยเรียกกลุ่มไอเอสด้วยชื่อย่อภาษาอาหรับของกลุ่มนี้

“การโจมตีทางอากาศของกลุ่มพันธมิตรถูกสั่งระงับไปในทันที เมื่อทางเจ้าหน้าที่ของกลุ่มพันธมิตรได้รับแจ้งจากทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัสเซียว่า มีความเป็นไปได้ที่บุคลากรและยานพาหนะซึ่งตกเป็นเป้าหมายนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกองทหารซีเรีย” คำแถลงบอก

ทางด้านคณะมนตรีความมั่นคงของยูเอ็นได้เปิดการประชุมเป็นการภายในเมื่อคืนวันเสาร์ (17) หลังจากรัสเซียเรียกร้องให้หารือเป็นวาระฉุกเฉินเพื่ออภิปรายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับกล่าวหาว่าสหรัฐฯ กำลังทำให้ข้อตกลงหยุดยิงซีเรียตกอยู่ในอันตราย

ขณะที่ ซาแมนธา พาวเวอร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาติ กล่าวตำหนิรัสเซียอย่างรุนแรงสำหรับความเคลื่อนไหวเช่นนี้

เธอบอกว่า รัสเซียควรต้องยุติการใช้วิธีทำคะแนนราคาถูกๆ, การแสดงผาดโผนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยการวางตัวสูงส่งทางศีลธรรม และการเรียกร้องให้มีผู้ชมมายืนโห่ร้องแสดงความชื่นชมเช่นนี้ แล้วหันมาโฟกัสในสิ่งที่เป็นเนื้อหาสาระจริงๆ ซึ่งก็คือการปฏิบัติตามสิ่งที่สหรัฐฯ กับรัสเซียได้เจรจาตกลงกันไว้

พาวเวอร์กล่าวว่า สหรัฐฯ กำลังสอบสวนเรื่องการโจมตีทางอากาศนี้อยู่ และ “ถ้าเราวินิจฉัยออกมาว่าเราได้ทำการโจมตีบุคลากรทางทหารของซีเรียจริงๆ นั่นก็ไม่ได้เป็นความตั้งใจของเราเลย และแน่นอนทีเดียวว่าเรามีความเสียใจต่อการสูญเสียชีวิตที่เกิดขึ้น”

เมื่อถูกถามว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้ข้อตกลงหยุดยิงซีเรียซึ่งมอสโกกับวอชิงตันเป็นคนกลางคราวนี้มีอันต้องล้มครืนลงหรือไม่ วิตาลี ชูร์คิน เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำยูเอ็นตอบว่า “นี่เป็นเครื่องหมายคำถามอันใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่ม”

“ผมมีความสนใจมากที่จะเฝ้าดูว่าวอชิงตันกำลังจะแสดงปฏิกิริยาออกมาอย่างไร แต่ถ้าสิ่งที่เอกอัครราชทูตพาวเวอร์กระทำในวันนี้คือสิ่งบ่งชี้ใดๆ ถึงปฏิกิริยาที่เป็นไปได้ของพวกเขาแล้ว ถ้าเช่นนี้เราก็กำลังตกอยู่ในความลำบากอย่างร้ายแรง” ชูร์คินกล่าวกับผู้สื่อข่าว

มอสโกได้หยิบยกการโจมตีคราวนี้ ซึ่งเป็นการเปิดทางให้พวกนักรบไอเอสสามารถบุกเข้ายึดที่มั่นของกองทัพซีเรียแห่งหนึ่งใกล้ๆ สนามบินเมืองเดอีร์ เอซซอร์ เอาไว้เป็นเวลาสั้นๆ ว่าคือหลักฐานซึ่งแสดงว่าสหรัฐฯ กำลังช่วยเหลือกลุ่มนักรบญิฮาดสุดโต่งกลุ่มนี้

“เรากำลังบรรลุถึงข้อสรุปอันน่าสยดสยองอย่างแท้จริงสำหรับทั่วทั้งโลก นั่นคือ ทำเนียบขาวกำลังพิทักษ์ปกป้องพวกรัฐอิสลาม เวลานี้มันไม่มีอะไรต้องสงสัยอีกแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้” สำนักข่าวอาร์ไอเอ โนวอสตี อ้างคำพูดของ มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย

พาวเวอร์ได้ตอบโต้โดยกล่าวว่า ซาคาโรวาควรรู้สึกละอายใจที่กล่าวอ้างเช่นนี้ออกมา ขณะที่ชูร์คินบอกว่า รัสเซียไม่ได้มี “หลักฐานอันเจาะจง” ว่าสหรัฐฯ กำลังสมคบร่วมมือกับพวกนักรบไอเอส

ซาคาโรวาพูดด้วยว่า เหตุโจมตีคราวนี้เป็นการคุกคามบ่อนทำลายข้อตกลงหยุดยิงในซีเรียซึ่งมีรัสเซียกับสหรัฐฯ เป็นคนกลาง โดยที่มอสโกนั้นกำลังช่วยเหลือรัฐบาลประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ในสงครามกลางเมืองคราวนี้ ส่วนวอชิงตันให้การหนุนหลังกลุ่มกบฏบางกลุ่ม

ในส่วนของกองทัพรัสเซียได้ออกคำแถลงระบุว่า มีเครื่องบินรบหลายลำจากกลุ่มพันธมิตรนานาชาติต่อต้านนักรบญิฮาด ได้เข้าทำการโจมตีทางอากาศ 4 ระลอกในวันเสาร์ (17) ต่อกองกำลังอาวุธของซีเรียซึ่งถูกพวกไอเอสรายล้อมไว้ในสนามบินเดอีร์ เอซซอร์

“ทหารซีเรีย 62 นายถูกสังหาร และอีก 100 นายได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีเหล่านี้”

ฝ่ายทหารรัสเซียบอกว่า เครื่องบินไอพ่นเอฟ16 จำนวน 2 ลำ และ เอ10 อีก 2 ลำ ซึ่งบินจากอิรักเข้ามาในน่านฟ้าของซีเรีย คือผู้ทำการโจมตีครั้งนี้ซึ่งเกิดขึ้นในเวลา 14.00 น.ตามเวลามาตรฐานกรีนิช (ตรงกับ 21.00 น.เวลาเมืองไทย)

“ไม่นานถัดจากการโจมตีของกลุ่มพันธมิตร พวกนักรบไอเอสก็เปิดการรุก” คำแถลงนี้ระบุ พร้อมกับบอกว่า ได้เกิดการสู้รบอย่างดุเดือดกับพวกผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ในบริเวณใกล้เคียงอีกด้วย

“ถ้าการโจมตีเหล่านี้มีสาเหตุจากความผิดพลาดในการประสานงานเกี่ยวกับเป้าหมายแล้ว มันก็คือผลพวงโดยตรงของการที่สหรัฐฯ ปฏิเสธไม่ยอมร่วมมือประสานงานกับฝ่ายรัสเซีย เกี่ยวกับการสู้รบของตนในการปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายต่างๆ ในซีเรีย” คำแถลงบอก

ทางด้านกลุ่มสังเกตการณ์ชาวซีเรียเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งคอยติดตามสงครามกลางเมืองในซีเรียโดยอาศัยสายข่าวในพื้นที่ซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลซีเรียนั้น ออกมาให้ตัวเลขว่ามีทหารรัฐบาลถูกสังหารไปอย่างน้อย 90 นาย พร้อมกับยืนยันว่าการโจมตีที่เกิดขึ้นมาเป็นฝีมือของกลุ่มพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯ

ขณะที่สำนักข่าวอามัก ซึ่งมีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับไอเอส รายงานว่า กองกำลังพันธมิตรได้โจมตีใส่ที่มั่นต่างๆ ของไอเอส ทว่าไอเอสยังคงสามารถ “บุกยึดควบคุมที่มั่นจาบัล เทอร์เดห์ เอาไว้ได้ทั้งหมด โดยที่มั่นนี้อยู่บนที่สูงซึ่งสามารถมองเห็นสนามบินเดอีร์ เอซซอร์ที่อยู่ด้านล่าง”

กองทัพซีเรียนั้นกำลังสู้รบเพื่อต้านทานไอเอสที่เปิดการรุกอย่างดุเดือดเข้าใส่ฐานทัพอากาศเดอีร์ เอซซอร์มาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยที่สนามบินแห่งนี้และพื้นที่อีกบางย่านในเมืองเดอีร์ เอซซอร์ คือที่มั่นที่เหลืออยู่ซึ่งกองกำลังจากภายนอกยังสามารถเข้าไปถึงได้ ขณะที่พื้นที่รอบๆ ตกอยู่ในความควบคุมของไอเอสไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม สื่อทางการของรัสเซียและของซีเรียรายงานว่า ในเวลาต่อมากองทัพซีเรียสามารถยึดที่มั่นต่างๆ ซึ่งสูญเสียไปกลับคืนมาได้แล้ว ส่วนกลุ่มผู้สังเกตการณ์ชาวซีเรียฯ รายงานด้วยว่า มีสมาชิกไอเอส 38 คนถูกสังหารและอีกหลายสิบคนได้รับบาดเจ็บ จากการที่รัสเซียถล่มโจมตีอย่างหนักใส่ที่มั่นจาบัล เทอร์เดห์ ในระหว่างทำการสู้รบกัน

ตั้งแต่ก่อนหน้าเกิดเหตุถล่มทางอากาศคราวนี้เสียอีก พวกเจ้าหน้าที่ทหารรัสเซียก็ได้ออกมาประณามทั้งสหรัฐฯ และกลุ่มกบฏกระแสหลักด้วยถ้อยคำภาษาที่รุนแรงที่สุด นับตั้งแต่มอสโกกับวอชิงตันทำข้อตกลงหยุดยิงที่เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันจันทร์ (12) ที่ผ่านมา

“สถานการณ์ในซีเรียกำลังเลวร้ายลงทุกที” วลาดีมีร์ ซาฟเชนโค นายพลชาวรัสเซีย กล่าวในการแถลงสรุปถ่ายทอดทางโทรทัศน์เมื่อวันเสาร์ (17)

“ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาจำนวนของเหตุโจมตีเพิ่มขึ้นมาอย่างมากมาย” โดยที่มีการเข้าโจมตีที่มั่นต่างๆ ของรัฐบาลและการเข้าโจมตีพลเรือนรวม 55 ครั้ง พลเรือนถูกสังหารไป 12 ราย เขาบอก

ด้านกระทรวงกลาโหมรัสเซียก็ออกคำแถลงกล่าวหาว่า “กลุ่มกบฏที่เป็นพวกแนวคิดกลางๆ” กำลังทำให้ข้อตกลงหยุดยิงล้มครืนลงมา

ตามข้อตกลงที่สหรัฐฯ กับรัสเซียเป็นคนกลางฉบับนี้ระบุว่า ถ้าสามารถรักษาให้การหยุดยิงยืนยาวไปได้ 7 วัน และมีการอนุญาตให้จัดส่งสิ่งของเพื่อมนุษยธรรมไปยังพื้นที่ต่างๆ ซึ่งพลเรือนจำนวนมากกำลังทุกข์ยากเดือดร้อนหนักเพราะอยู่ในเขตซึ่งเกิดการสู้รบกัน มอสโกกับวอชิงตันก็จะทำงานร่วมกันในการพุ่งเป้าหมายเล่นงานปราบปรามพวกนักรบญิฮาดกลุ่มต่างๆ รวมทั้งไอเอสด้วย

“ถ้าฝ่ายอเมริกันไม่ได้ดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อกระทำตามพันธะผูกพันของตนแล้ว … ความรับผิดชอบจากการทำให้ข้อตกลงหยุดยิงล้มพับไปจะต้องเป็นของสหรัฐฯ” วิกตอร์ ปอซนิคีร์ นายพลทหารบกรัสเซียระบุในการแถลงข่าว

ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ซึ่งเป็นพันธมิตรคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของประธานาธิบดีอัสซาดแห่งซีเรีย ก็ออกมากล่าวก่อนหน้านี้ในวันเสาร์ (17) เช่นกันว่า เขายังคง “มองแง่บวก” เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง แต่ก็กล่าวหาพวกกบฏว่า กำลังพยายามที่จะรวมกำลังกันขึ้นมาใหม่

ปูตินบอกว่า วอชิงตันดูเหมือนมีความปรารถนาที่จะรักษา “ศักยภาพความสามารถในการสู้รบกับรัฐบาลที่ถูกกฎหมายของประธานาธิบดีอัสซาดเอาไว้ต่อไป” ซึ่งถือว่าเป็น “หนทางที่มีอันตรายอย่างยิ่ง”

การปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อตกลงหยุดยิงนี้มีความยุ่งยากซับซ้อนเนื่องจากกลุ่มนักรบญิฮาดหัวรุนแรงที่ไม่ได้ถูกรวมไว้ในข้อตกลงหยุดยิง ปรากฏตัวปะปนอยู่กับพวกกบฏกระแสหลักในบางพื้นที่ของแนวรบแห่งเดียวกัน

ปัญหาท้าทายสำหรับวอชิงตันก็คือ การชักชวนโน้มน้าวกลุ่มฝ่ายค้านต่างๆ ของซีเรียซึ่งสหรัฐฯ หนุนหลังอยู่ ให้ยอมแยกตัวพวกเขาเองออกมาจากกลุ่มที่ปัจจุบันใช้ชื่อว่า แนวร่วม ฟาเตห์ อัล-ชาม โดยที่ก่อนหน้านั้นเรียกขานกันว่า แนวร่วม อัล-นุสรา และเป็นกลุ่มในเครือข่ายของอัลกออิดะห์

สาระสำคัญอีกประการหนึ่งของข้อตกลงหยุดยิงคราวนี้ คือการส่งสิ่งของช่วยเหลือไปยังพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งที่เมืองอะเลปโป ซึ่งประมาณการกันว่ามีประชาชนราว 250,000 คนอาศัยอยู่ในหลายๆ เขตซึ่งพวกกบฏยึดครองอยู่และถูกรัฐบาลปิดล้อมไว้

ทว่าเมื่อวันเสาร์ (17) ขบวนรถบรรทุก 40 คันที่บรรทุกความช่วยเหลือด้านอาหาร ยังคงติดแหง็กอยู่ตรงพรมแดนระหว่างตุรกีกับซีเรีย

 

ที่มา:Manager Online