ตั้งแต่ก่อนหน้าเกิดเหตุถล่มทางอากาศคราวนี้เสียอีก พวกเจ้าหน้าที่ทหารรัสเซียก็ได้ออกมาประณามทั้งสหรัฐฯ และกลุ่มกบฏกระแสหลักด้วยถ้อยคำภาษาที่รุนแรงที่สุด นับตั้งแต่มอสโกกับวอชิงตันทำข้อตกลงหยุดยิงที่เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันจันทร์ (12) ที่ผ่านมา
“สถานการณ์ในซีเรียกำลังเลวร้ายลงทุกที” วลาดีมีร์ ซาฟเชนโค นายพลชาวรัสเซีย กล่าวในการแถลงสรุปถ่ายทอดทางโทรทัศน์เมื่อวันเสาร์ (17)
“ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาจำนวนของเหตุโจมตีเพิ่มขึ้นมาอย่างมากมาย” โดยที่มีการเข้าโจมตีที่มั่นต่างๆ ของรัฐบาลและการเข้าโจมตีพลเรือนรวม 55 ครั้ง พลเรือนถูกสังหารไป 12 ราย เขาบอก
ด้านกระทรวงกลาโหมรัสเซียก็ออกคำแถลงกล่าวหาว่า “กลุ่มกบฏที่เป็นพวกแนวคิดกลางๆ” กำลังทำให้ข้อตกลงหยุดยิงล้มครืนลงมา
ตามข้อตกลงที่สหรัฐฯ กับรัสเซียเป็นคนกลางฉบับนี้ระบุว่า ถ้าสามารถรักษาให้การหยุดยิงยืนยาวไปได้ 7 วัน และมีการอนุญาตให้จัดส่งสิ่งของเพื่อมนุษยธรรมไปยังพื้นที่ต่างๆ ซึ่งพลเรือนจำนวนมากกำลังทุกข์ยากเดือดร้อนหนักเพราะอยู่ในเขตซึ่งเกิดการสู้รบกัน มอสโกกับวอชิงตันก็จะทำงานร่วมกันในการพุ่งเป้าหมายเล่นงานปราบปรามพวกนักรบญิฮาดกลุ่มต่างๆ รวมทั้งไอเอสด้วย
“ถ้าฝ่ายอเมริกันไม่ได้ดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อกระทำตามพันธะผูกพันของตนแล้ว … ความรับผิดชอบจากการทำให้ข้อตกลงหยุดยิงล้มพับไปจะต้องเป็นของสหรัฐฯ” วิกตอร์ ปอซนิคีร์ นายพลทหารบกรัสเซียระบุในการแถลงข่าว
ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ซึ่งเป็นพันธมิตรคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของประธานาธิบดีอัสซาดแห่งซีเรีย ก็ออกมากล่าวก่อนหน้านี้ในวันเสาร์ (17) เช่นกันว่า เขายังคง “มองแง่บวก” เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง แต่ก็กล่าวหาพวกกบฏว่า กำลังพยายามที่จะรวมกำลังกันขึ้นมาใหม่
ปูตินบอกว่า วอชิงตันดูเหมือนมีความปรารถนาที่จะรักษา “ศักยภาพความสามารถในการสู้รบกับรัฐบาลที่ถูกกฎหมายของประธานาธิบดีอัสซาดเอาไว้ต่อไป” ซึ่งถือว่าเป็น “หนทางที่มีอันตรายอย่างยิ่ง”
การปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อตกลงหยุดยิงนี้มีความยุ่งยากซับซ้อนเนื่องจากกลุ่มนักรบญิฮาดหัวรุนแรงที่ไม่ได้ถูกรวมไว้ในข้อตกลงหยุดยิง ปรากฏตัวปะปนอยู่กับพวกกบฏกระแสหลักในบางพื้นที่ของแนวรบแห่งเดียวกัน
ปัญหาท้าทายสำหรับวอชิงตันก็คือ การชักชวนโน้มน้าวกลุ่มฝ่ายค้านต่างๆ ของซีเรียซึ่งสหรัฐฯ หนุนหลังอยู่ ให้ยอมแยกตัวพวกเขาเองออกมาจากกลุ่มที่ปัจจุบันใช้ชื่อว่า แนวร่วม ฟาเตห์ อัล-ชาม โดยที่ก่อนหน้านั้นเรียกขานกันว่า แนวร่วม อัล-นุสรา และเป็นกลุ่มในเครือข่ายของอัลกออิดะห์
สาระสำคัญอีกประการหนึ่งของข้อตกลงหยุดยิงคราวนี้ คือการส่งสิ่งของช่วยเหลือไปยังพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งที่เมืองอะเลปโป ซึ่งประมาณการกันว่ามีประชาชนราว 250,000 คนอาศัยอยู่ในหลายๆ เขตซึ่งพวกกบฏยึดครองอยู่และถูกรัฐบาลปิดล้อมไว้
ทว่าเมื่อวันเสาร์ (17) ขบวนรถบรรทุก 40 คันที่บรรทุกความช่วยเหลือด้านอาหาร ยังคงติดแหง็กอยู่ตรงพรมแดนระหว่างตุรกีกับซีเรีย
ที่มา:Manager Online |