ขายเว็บนี้ ติดต่อ LINE : 0895172266
วันพฤหัสบดี, 25 เมษายน 2567

โลกป่วนแล้ว!!! ทรัมป์เซ็นห้ามมุสลิมเข้าประเทศ 120 วัน อิหร่านโต้กลับสั่งห้ามอเมริกันเข้าประเทศบ้าง ขณะนายกฯแคนาดารีบทวีตยินดีรับมุสลิม

 

คำสั่งห้ามพลเมืองกว่า 130 ล้านคน จาก 7 ประเทศมุสลิมเดินทางเข้าสหรัฐฯ เป็นเวลา 90 วัน และการระงับสิทธิการเดินทางเข้าสู่ดินแดนสหรัฐฯ ของผู้ลี้ภัยทั้งหมดเป็นเวลา 120 วัน ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักไปทั่วโลก รวมทั้งยังทำให้เกิดความสับสน และความวุ่นวายขึ้นตามสนามบินต่างๆ โดยมีรายงานว่า ผู้ลี้ภัยและพลเมืองจากประเทศที่ถูกห้ามเข้าสหรัฐฯ จำนวนมากถูกกักตัวไว้ตามสนามบินต่างๆ ของสหรัฐฯ เนื่องจากพวกเขาได้ออกเดินทางก่อนที่ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ จะลงนามในคำสั่ง และเดินทางถึงสหรัฐฯ หลังคำสั่งมีผลบังคับใช้แล้ว ส่วนผู้โดยสารที่ยังไม่ได้ออกเดินทางก็ถูกห้ามขึ้นเครื่องบินเพื่อเดินทางไปยังสหรัฐฯ แม้จะมีบัตรโดยสารและวีซ่าเดินทางเข้าสหรัฐฯ แล้วก็ตาม ส่งผลให้ผู้โดยสารหลายคนต้องตกค้างอยู่ตามสนามบินต่างประเทศที่ใช้ในการต่อเครื่องเข้าสหรัฐฯ คำสั่งนี้ยังมีผลต่อผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เป็นพลเมืองชั่วคราวของสหรัฐฯ หรือได้รับใบอนุญาตให้ทำงานในสหรัฐฯ ด้วย เพราะแม้แต่คนเหล่านี้ก็ไม่ได้รับข้อยกเว้นให้เดินทางกลับเข้าสหรัฐฯ

ด้านพรรคเดโมแครต องค์กรสิทธิมนุษยชน และกลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ พากันออกมาตำหนิคำสั่ง โดยเห็นว่าจะเป็นการลดทอนค่านิยมหลักของสหรัฐอเมริกา และทำให้ภาพของสหรัฐฯ ไม่ดีในสายตาชาวโลก ขณะที่สายการบินต่างๆ ได้ออกประกาศเตือนผู้โดยสารจาก 7 ประเทศว่า ไม่สามารถเดินทางเข้าสู่สหรัฐฯ ได้ แม้ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาล นักการทูต หรือเจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศ

ขณะที่ อิหร่าน ซึ่งเป็น 1 ใน 7 ประเทศมุสลิมที่ถูกรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่มีคำสั่งห้ามพลเมืองเข้าประเทศออกมาตำหนินโยบายดังกล่าวอย่างรุนแรง โดยกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านออกแถลงการณ์ระบุว่านโยบายดังกล่าว แม้จะเป็นคำสั่งชั่วคราวที่มีผลบังคับใช้เพียง 3 เดือน แต่ก็ถือว่าเป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีของชาวมุสลิมทั่วโลก รวมทั้งชาวอิหร่านด้วย นอกจากนั้นยังเชื่อว่าคำสั่งดังกล่าวยังเป็นเหมือนของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง

ด้านนายเดวิด มิลิแบนด์ ประธานและซีอีโอคณะกรรมการช่วยเหลือสากล ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและผู้ลี้ภัยเห็นว่าคำสั่งระงับการอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยเดินทางเข้าสหรัฐฯ เป็นระยะเวลา 120 วันเป็นสิ่งที่อันตรายและบ้าบิ่นเกินไป พร้อมระบุด้วยว่าโครงการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยของสหรัฐฯ ทำให้การเดินทางเข้าสู่สหรัฐฯ ในสถานภาพผู้ลี้ภัยยากลำบากมากกว่าสถานภาพอื่นๆ เพราะผู้ลี้ภัยต้องเข้ากระบวนการตรวจสอบอย่างละเอียด และทำให้ต้องใช้เวลานานมากกว่า 2 ปี ก่อนจะย้ำในตอนท้ายว่าผู้ลี้ภัยเหล่านี้ไม่ใช่กลุ่มก่อการร้าย หากแต่เป็นผู้ที่กำลังเดือดร้อนจากสถานการณ์ความรุนแรงในประเทศของตนเอง โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่มีจำนวนผู้ลี้ภัยมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา สหรัฐฯ จึงควรยึดมั่นในหลักการเป็นความหวังให้แก่คนไร้ที่พึ่ง ขณะที่องค์การสากลเพื่อการอพยพและสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอสซีอาร์แสดงความวิตกต่อคำสั่งการระงับการเดินทางเข้าประเทศสหรัฐฯ ของผู้ลี้ภัย โดยระบุว่าผู้ลี้ภัยทุกชาติและศาสนาควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งด้านการปกป้องอันตราย การให้ความช่วยเหลือ และแม้แต่โอกาสในการตั้งถิ่นฐานใหม่ ขณะเดียวกัน นายอาเบด อายูบ ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายและนโยบาย คณะกรรมการต่อต้านการเลือกปฏิบัติอเมริกัน-อาหรับ กล่าวว่าคำสั่งนี้ส่งผลให้เกิดความโกลาหลขึ้น ซึ่งกลุ่มของเขากำลังดำเนินการเรียกร้องให้คนทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งดังกล่าวรวมตัวกันเพื่อตอบโต้รัฐบาลสหรัฐฯ

ส่วนนายกรัฐมนตรี จัสติน ทรูโด ของแคนาดา เผยแคนาดายินดีต้อนรับผู้ลี้ภัยเข้าประเทศ โดยกล่าวผ่านการทวีตข้อความในวันเสาร์ หรือหนึ่งวันหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ได้เซ็นคำสั่งพิเศษห้ามประชาชนจาก 7 ประเทศมุสลิมเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกา

“สำหรับผู้ที่หนีจากการข่มเหงรังแก การก่อการร้ายและสงคราม ชาวแคนาดาจะต้อนรับคุณ ไม่ว่าคุณนับถือศาสนาใด ความหลากหลายคือพลังของเรา” นายทรูโดทวีตข้อความ ตามด้วยการทวีตรูปภาพที่เขาเองกำลังทักทายกับเด็กผู้ลี้ภัยชาวซีเรียคนหนึ่ง

การทวีตข้อความและรูปภาพดังกล่าวของนายกฯแคนาดามีขึ้นหนึ่งวันหลังจากที่ในวันศุกร์ ปธน.ทรัมป์ของสหรัฐได้เซ็นคำสั่งพิเศษ ซึ่งห้ามพลเมืองของอิหร่าน อิรัก ซูดาน โซมาเลีย ซีเรีย เยเมน และลิเบียเข้าประเทศสหรัฐ เป็นระยะเวลา 3 เดือน พร้อมทั้งห้ามผู้ลี้ภัยจากซีเรียเข้าสหรัฐอย่างเด็ดขาด โดยทรัมป์ระบุว่า คำสั่งดังกล่าวจะช่วยปกป้องชาวอเมริกันจากการก่อการร้าย

ทั้งนี้ รัฐบาลแคนาดาไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นโดยตรงในทันทีเกี่ยวกับเรื่องนี้

เรียบเรียง บุญชัย

ที่มา:TNEWS DEEPS