ขายเว็บนี้ ติดต่อ LINE : 0895172266
วันเสาร์, 11 พฤษภาคม 2567

“รู้ไหมว่า….ริซกีจะเที่ยวตามหาเจ้าของริซกีนั้น”

“รู้ไหมว่า….ริซกีจะเที่ยวตามหาเจ้าของริซกีนั้น”
เตือนฉันเตือนเธอ,หะดีษที่ 783 โดย อ.มุรีด ทิมะเสน

ท่านเราะสูลุลลอฮฺกล่าวว่า

إِنَّ الرِّزْقَ لَيَطْلُبُ الْعَبْدَ كَمَا يَطْلُبُهُ أَجَلُهُ

“แท้จริงริซกี (ปัจจัยยังชีพ) แสวงหาผู้เป็นเจ้าของ (บ่าว) ของริซกีนั้น เสมือนอาญัล (ความตาย) ของเขาได้แสวงหาเขานั่นแล” [1]

สิ่งที่ได้รับจากหะดีษ

หากมีคำถามเอ่ยถามเราว่า เรารู้สึกกังวลถึงปัจจัยยังชีพของเราหรือไม่? เชื่อมั่นเหลือเกินว่า คำตอบทั้งหมด หรือส่วนใหญ่ที่ได้มานั้น คงไปในทิศทางเดียว นั่นคือ “ต้องเป็นกังวลอย่างแน่นอน” ซึ่งหากเราพิจารณาแบบบางๆ คำตอบคงไม่ผิดอะไรนักหรอก เพราะเรื่องปากท้อง ใครๆ ก็มีสิทธิ์กังวลได้เป็นเรื่องปกติ

โดยพื้นฐานความเป็นมนุษย์ปุถุชนทั่วไป ย่อมกังวลเรื่องปากท้องเป็นเรื่องธรรมดา ตื่นเช้าขึ้นก็กังวลไปหมด โดยเฉพาะครอบครัวใดมีสมาชิกภายในครอบครัวเป็นจำนวนมากด้วยแล้ว ยิ่งกังวลหนักเข้าไปใหญ่ อาหารการกินเอย ค่าเทอมเอย ค่าน้ำค่าไฟเอย และอีกจิปาถะ ความกังวลย่อมรุมเร้าอย่างเห็นได้ชัด แต่แทบไม่น่าเชื่อ ผู้ศรัทธามั่นต่ออัลลอฮฺ ผู้มอบหมายกิจการงานแด่พระองค์ ย่อมรู้สึกไม่กังวลต่อเรื่องดังกล่าวเลย เพราะอะไรละหรือ? ก็เพราะริซกี (ปัจจัยยังชีพ) ของบ่าวแต่ละคนนั้น ถูกกำหนดให้มาเรียบร้อยแล้วตั้งแต่อายุครรภ์ของเขาบรรลุได้ 120 วันนั่นแล พระองค์ทรงส่งมลาอิกะฮฺมาบันทึกริซกีให้เรียบร้อยแล้วนับเนื่องตั้งแต่บัดดลนั้น, ฉะนั้น ด้วยเหตุนี้ ผู้ศรัทธามั่นต่ออัลลอฮฺจึงมิต้องกังวลเรื่องริซกีแต่อย่างใดไม่ หน้าที่ของเราในฐานะบ่าว คือการแสวงหาปัจจัยยังชีพเท่านั้น ส่วนการประทานริซกี เป็นหน้าที่ของอัลลอฮฺแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งสัญญาของพระองค์ไม่เคยเป็นหมันแม้แต่ครั้งเดียว, อีกทั้งท่านนบีวัจนะไว้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ริซกีแสวงหาเจ้าของ (บ่าว) ของริซกีนั้น เฉกเช่นความตาย (อาญัล) ของเขาได้แสวงหาเขานั่นเอง, ด้วยวัจนะของท่านนบีข้างต้น ยังคงตอกย้ำให้เราในฐานะบ่าวของอัลลอฮฺไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องของปัจจัยยังชีพแต่อย่างใดไม่ เพราะปัจจัยยังชีพ (ริซกี) จักอย่างไรเสีย ผู้เป็นเจ้าของริซกีนั้นจักได้รับอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยหาได้ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใดไม่ หากริซกีถูกกำหนดเป็นของผู้ใดแล้วละก็ ริซกีนั้นย่อมเป็นของเขาผู้นั้นวันยังค่ำ มิอาจโอนถ่ายเป็นของผู้อื่นโดยเด็ดขาด นี่คือความจริงโดยมิอาจปฏิเสธได้เลย

ครั้นเมื่อเข้าใจความนัยข้างต้นแล้ว วิถีชีวิตของเรากลับมาทบทวนคิดสะระตะไหมว่า? วันนี้เราเคยอิจฉาผู้อื่นที่ได้ริซกีมากกว่าเราหรือไม่? เราเคยอิจฉาผู้อื่นขณะผู้อื่นซื้อรถป้ายแดงหรือไม่? เราเคยคิดไม่ดีกับพี่น้องข้างร้านของเราซึ่งขายสินค้าดีกว่าเราหรือไม่? เราคิดน้อยเนื้อต่ำใจที่เห็นผู้อื่นเขาประสบความสำเร็จมากกว่าเราหรือไม่? และอีกหลายคำถามที่เราพานพบในชีวิตประจำวันของเรา, ซึ่งคำถามที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนเป็นคำถามซึ่งมีคำตอบเดียวทั้งสิ้น กล่าวคือ เราไม่ต้องไปอิจฉาริษยาใครเลย เราไม่ต้องคิดในทางที่ไม่ดีกับพี่น้องของเราเลย เพราะอะไรล่ะหรือ? ก็เพราะพระองค์อัลลอฮฺทรงกำหนดริซกีมาให้แต่ละบุคคลเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้เราจะมัวเสียเวลาทำบาปไปคิดอิจฉา หรือคิดแง่ไม่ดีกับพี่น้องของเราทำไมด้วยเล่า? เสียเวลาเปล่าๆ อีกทั้งเรายังสะสมความผิดอีกต่างหาก, ดูกร เราทุกคนต้องตาย ความตายของคนหนึ่งก็ย่อมแสวงหาเขาผู้นั้นอยู่ดี ไม่ต่างจากริซกีหรอก เพราะริซกีกำหนดให้ใครแล้วก็ย่อมเป็นของเขาผู้นั้นวันยังค่ำ นี่คือวิถีของผู้ศรัทธา ซึ่งวิถีของผู้ศรัทธา คือวิถีแห่งชาวสวรรค์….นั่นแล

[1] หะดีษเศาะหี้หฺลิฆ็อยริฮี, บันทึกโดยอิบนุ หิบบาน หะดีษที่ 3238

Mureed Timasen