
วินาทีลอบสังหารท่านเคาะลีฟะฮ์ อุมัร อิบนุล ค็อตต้อบ (ร.ด.) ในมัสยิด
เหตุการณ์ลอบสังหารท่านอุมัร เกิดขึ้นในช่วงเช้ามืดของวันพุธ ที่ 26 ซุลฮิจญะฮ์ ปี ฮ.ศ.23 (ค.ศ.644) ที่เมืองมะดีนะฮ์
ในขณะที่ท่านเคาะลีฟะฮ์ อุมัร อิบนุ อัล-ค็อตต็อบ(ร.ด.) กำลังนำละหมาดศุบฮิให้แก่เหล่าบรรดาเศาะหาบะฮ์อยู่ในมัสยิด
ปรากฏว่ามีชายกาเฟรคนหนึ่งนามว่า “ฟัยรูซ” โดยเขามีฉายาที่ผู้คนเรียกกันว่า “อะบู ลุลุอะฮ์ อัล-มะญูซีย์” เขาเป็นทาสชาวเปอร์เซีย และเป็นช่างฝีมือดีคนหนึ่ง ที่มาทำงานเป็นคนงานให้กับท่านมุฆีเราะฮ์ บิน ชุอ์บะฮ์(ร.ด.) ซึ่งท่านอุมัรก็รู้จักกับทาสคนนี้เป็นอย่างดี
ในการลอบสังหารท่านอุมัรนั้น ชายคนนี้ได้เดินเข้ามาในมัสยิดในขณะที่ทุกคนกำลังละหมาดอยู่ โดยมันได้เดินแทรกแถวละหมาดขึ้นมาจากทางด้านหลังไปจนถึงตัวของท่านอุมัรที่กำลังเป็นอิมาม แล้วมันก็ได้ใช้มีดกริชสองคมที่เตรียมมา จ้วงแทงท่านอุมัรจากทางด้านหลังแบบไม่ยั้ง จนเป็นแผลฉกรรจ์ถึง 6 แผลด้วยกัน ท่านอุมัรก็ทรุดลงด้วยความเจ็บปวด เลือดของท่านอุมัรไหลออกมาเยอะมาก เหล่าบรรดาเศาะหาบะฮ์ต่างก็มาช่วยเหลือท่านอุมัร
แม้ท่านอุมัรจะเจ็บปวดมาก และเหตุการณ์ก็ชุลมุนวุ่นวายมากอยู่พักใหญ่ๆ แต่ท่านก็ได้พยายามดึงมือท่านอับดุรเราะห์มาน บิน เอาฟ์(ร.ด.) ให้ไปนำละหมาดแก่ผู้คนแทนท่านให้เสร็จ แล้วท่านอับดุรเราะห์มาน บิน เอาฟ์ ก็ได้นำละหมาดให้แก่ผู้คนด้วยสูเราะฮ์สั้นๆ จนเสร็จ
เมื่อละหมาดเสร็จ เหล่าบรรดาเศาะหาบะฮ์ต่างก็รีบเร่งมาดูแลท่านอุมัรต่อ แล้วท่านอุมัรก็ได้บอกกับท่าน อิบนุ อับบาสว่า “อิบนุ อับบาส เจ้าไปดูสิว่า คนที่ลอบฆ่าฉัน มันเป็นใคร !?!”
ท่านอิบนุ อับบาส(ร.ด.) ก็รีบวิ่งไปดูหน้าฆาตกร แล้วรีบกลับมาบอกท่านอุมัรว่า “มันคือทาสของท่านมุฆีเราะฮ์(ร.ด.) ครับ !!!”
ท่านอุมัรก็กล่าวว่า “คือ คนงานชาวเปอร์เซียคนนั้นใช่ไหม ??”
ท่านอิบนุ อับบาส ก็ตอบว่า “ใช่ครับท่าน !!”
ท่านอุมัรก็กล่าวว่า “ขออัลลอฮ์ทรงลงโทษมัน ตามที่พระองค์ทรงประสงค์เถอะ !!! แต่ก็อัลฮัมดุลิลละฮ์แล้ว ที่อัลลอฮ์ไม่ได้ทำให้ฉันตายด้วยน้ำมือของมุสลิมด้วยกันเอง !!”
ต่อมาเหล่าบรรดาเศาะหาบะฮ์ก็ได้ช่วยกันหามท่านอุมัรกลับไปที่บ้านของท่าน
ในส่วนฆาตกรนั้น หลังจากที่มันได้แทงท่านอุมัรเสร็จ มันก็พยายามวิ่งหลบหนีออกจากมัสยิด แต่บรรดาเหล่าเศาะหาบะฮ์ก็ได้พยายามช่วยกันจับมัน แต่มันขัดขืนทุกวิถีทางและได้ใช้มีดกริชนั้นแทงทุกคนที่ขวางหน้ามันไปอีก 13 คน ซึ่ง 6 คนในนั้นทนพิษบาดแผลไม่ไหวและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
และเมื่อท่านอับดุรเราะห์มาน บิน เอาฟ์ (ร.ด.) ได้เห็นฆาตกรวิ่งมาทางท่าน ท่านก็ได้โยนเสื้อคลุมของท่านไปคลุมตัวของฆาตกรไว้จนมันวิ่งต่อไม่ได้ บรรดาเศาะหาบะฮ์ก็พยายามช่วยกันจับมัน และสุดท้ายเมื่อมันรู้ตัวเองว่า มันคงหนีไปไหนไม่รอดแล้ว มันจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายทันที แล้วท่านอับดุรเราะห์มาน บิน เอาฟ์ ก็รีบเดินไปดูท่านอุมัรทันที
ในขณะที่ท่านอุมัรนอนพักฟื้นอยู่ที่บ้าน ก็มีเศาะฮาบะฮ์ได้พาน้ำนมมาเยี่ยมท่าน และเมื่อท่านอุมัรได้ดื่มนมเข้าไป ปรากฎว่าน้ำนมนั้นกลับไหลออกมาตามรูแผลที่โดนแทง จนกระทั่งหมอที่เฝ้าดูอาการของท่าน ได้กล่าวว่า “ท่านอะมีรุลฯ ครับ ท่านมีอะไรจะสั่งเสียบ้าง ฉันคิดว่าท่านอาจจะไม่ไหวแล้ว !!!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ท่านอุมัรก็ได้เรียกอับดุลลอฮ์ลูกชายของท่านมา และบอกว่า “ลูกช่วยไปตามท่านหุซัยฟะฮ์ อิบนุ อัล-ยะมาน มาหาพ่อที !!”
โดยท่านหุซัยฟะฮ์ท่านนี้ เป็นเศาะหาบะฮ์เพียงคนเดียวที่ท่านนบี(ซ.ล.) ได้มอบตารางรายชื่อพวกมุนาฟิก(พวกกลับกลอก) ที่มาแฝงตัวอยู่ในชาวมุสลิม ให้ท่านเก็บไว้
แล้วท่านหุซัยฟะฮ์ก็รีบเร่งมาหาท่านอุมัรที่บ้านทันที ซึ่งเลือดของท่านอุมัรก็ยังไหลซึมออกจากแผลอยู่ตลอดเวลา
เมื่อท่านหุซัยฟะฮ์มาถึง ท่านอุมัรก็กล่าวทั้งที่ยังเจ็บแผลอยู่ว่า “ท่านหุซัยฟะฮ์ ท่านช่วยบอกฉันทีว่า ในบรรดารายชื่อพวกมุนาฟิก(พวกกลับกลอก) ที่ท่านนบี(ซ.ล.) ได้บอกไว้กับท่านนั้น มันมีชื่อของฉันอยู่ด้วยหรือเปล่า !?!”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ท่านหุซัยฟะฮ์ก็ได้แต่นิ่งเงียบ แล้วร้องไห้ น้ำตาของท่านก็ไหลออกมาจากทั้งสองตา แล้วท่านก็ได้ตอบท่านอุมัรด้วยเสียงสะอื้นว่า “ท่านอุมัรคับ รายชื่อนี้เป็นความลับนะ ฉันบอกท่านไม่ได้จริงๆ !!!”
แต่ท่านอุมัรก็พยายามคะยั้นคะยอท่านหุซัยฟะฮ์ให้ช่วยตอบคำถามนี้ ท่ามกลางความเจ็บปวดจากแผลซึ่งมีเลือดไหลออกมาตลอดเวลา ซึ่งท่านอุมัรก็เอ่ยถามซ้ำๆ อยู่ตลอดเวลาว่า “ท่านหุซัยฟะฮ์ มีชื่อฉันไหม ท่านตอบฉันที ว่ามีชื่อฉันไหม !?!”
ท่านหุซัยฟะฮ์ได้แต่จับมือท่านอุมัรและร้องไห้สะอื้นอยู่ตลอดเวลา แต่สุดท้ายท่านหุซัยฟะฮ์จึงใจอ่อนเมื่อเห็นท่านอุมัรอยู่ในสภาพเจ็บปวดแบบนี้ และท่านหุซัยฟะฮ์ก็กล่าวว่า “ได้ๆ ฉันบอกแล้วท่านอุมัร ซึ่งฉันไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครเลย ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า มันไม่มีชื่อของท่านในรายชื่อนั้นหรอก !!”
ในขณะที่ท่านอุมัรนอนเจ็บปวดอยู่กับบาดแผลนั้น ท่านอุมัรก็ได้เรียกอับดุลลอฮ์ลูกชายมา และพูดด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือว่า “ตอนนี้พ่อมีอยู่เรื่องเดียวที่ยังไม่ได้ทำบนโลกดุนยานี้”
อับดุลลอฮ์ก็ถามว่า “เรื่องอะไรครับพ่อ !!”
ท่านอุมัรก็กล่าวด้วยเสียงสั่นว่า “พ่ออยากฝังศพตัวเองไว้ใกล้ๆ กับศพของท่านรสูล(ซ.ล.) ลูกช่วยไปหาท่านหญิงอาอิชะฮ์(ร.ด.) ที และบอกนางว่า อุมัรได้ฝากสลามมายังนาง แต่อย่าเรียกพ่อว่าอะมีรุลมุอ์มินีน(ผู้นำมุสลิม) ต่อหน้านางนะ แล้วขออนุญาตนางให้พ่อทีว่า พ่อจะขอฝังศพตัวเองไว้ที่ใต้เท้าของสหายทั้งสองของพ่อได้ไหม (คือ ศพของท่านนบีกับศพของท่านอะบูบักร) ซึ่งอยู่ภายในบ้านของนาง !!”
แล้วอับดุลลอฮ์ก็รีบเร่งไปยังบ้านของพระนางอาอิชะฮ์ (ร.ด.) ทันที และได้แจ้งพระนางไปตามที่ท่านพ่อฝากบอกมา
ซึ่งท่านหญิงอาอิชะฮ์(ร.ด.) ก็บอกกับอับดุลลอฮ์ว่า “ความจริงแล้ว ฉันได้เว้นที่ว่างในบ้านนี้เอาไว้ เพื่อฉันจะได้ฝังศพของตัวเองไว้ใกล้กับท่านนบีและใกล้กับท่านพ่อของฉัน แต่ไม่เป็นไร ฉันขอยกที่ตรงนี้ให้แก่ท่านอุมัร !!!”
เมื่ออับดุลลอฮ์ได้ยินดังนั้น เขาก็ดีใจอย่างยิ่ง และรีบกลับบ้านเพื่อไปบอกท่านอุมัร ว่าพระนางได้อนุญาตแล้ว
แต่เมื่อกลับถึงบ้าน อับดุลลอฮ์ก็ตกใจมาก เพราะเขาเห็นใบหน้าของพ่อฟุบอยู่บนพื้น แก้มของพ่อตั้งแนบอยู่บนดิน แล้วอับดุลลอฮ์ก็รีบลงไปอุ้มร่างของพ่อขึ้นมาจากพื้น แล้วให้พ่อนั่งพลิงบนตัวเขา โดยแก้มของพ่อได้แนบติดกับแก้มของเขา
เมื่อท่านอุมัรได้นอนพลิงกายบนลูกชาย ท่านได้มองไปที่ใบหน้าของอับดุลลอฮ์ แล้วพูดว่า “ปล่อยให้แก้มของพ่อ ซบลงบนพื้นดินเถอะลูก !!!”
อับดุลลอฮ์ได้แต่ร้องไห้ แล้วพูดว่า “ท่านพ่อ !!!!”
แล้วท่านอุมัรก็พูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ลูกช่วยวางแก้มของพ่อไว้บนพื้นดินเหมือนเดิมเถอะลูก ปล่อยให้ใบหน้าของพ่อคลุกอยู่บนพื้นดินเถอะ เพราะชีวิตของพ่อคงต้องวิบัติแน่ หากว่าพรุ่งนี้พ่อต้องกลับไปหาพระเจ้า ในสภาพที่พระองค์ไม่ทรงอภัยโทษให้ !!!!”
ก่อนจะเสียชีวิต ท่านอุมัรได้สั่งเสียกับอับดุลลอฮ์ว่า “อับดุลลอฮ์ลูกพ่อ หากว่าพ่อตายไป ลูกจงหามศพของพ่อ และละหมาดศพให้กับพ่อในมัสยิดของท่านรสูล(ซ.ล.) นะ แล้วลูกลองสังเกตดูนะว่า ท่านหุซัยฟะฮ์มาละหมาดศพให้พ่อหรือเปล่า เพราะพ่อกลัวว่าที่เขาบอกพ่อเรื่องรายชื่อมุนาฟิกในวันก่อนว่าไม่มีชื่อพ่อนั้น เขาอาจจะพูดเพราะสงสารพ่อ แต่ถ้าลูกเห็นท่านหุซัยฟะฮ์ละหมาดศพให้พ่อแล้ว ลูกก็จงหามศพของพ่อไปที่บ้านของท่านรสูล(ซ.ล.) นะ
และเมื่อลูกหามศพพ่อไปถึงหน้าบ้านของพระนางอาอิชะฮ์แล้ว ลูกจงหยุดอยู่ที่หน้าประตู จงให้สลามกับนางและพูดกับนางว่า ท่านแม่ครับ นี่คือศพของอุมัร ลูกชายของท่านครับ !!! และลูกอย่าเรียกพ่อว่าอะมีรุลมุอ์มินีนต่อหน้านางเด็ดขาด เพราะพ่อเกรงว่า พระนางอาจจะรู้สึกเกรงใจพ่อ จึงได้อนุญาตให้ฝังศพพ่อไว้ในบ้านของนาง
แต่ถ้าหากพระนางไม่อนุญาตให้ฝังศพพ่อไว้ในบ้านของนาง ลูกก็พาพ่อไปฝังไว้ที่กุบูรใหญ่ของพี่น้องมุสลิมนะลูก !!!”
ต่อมาท่านอุมัรก็ได้เสียชีวิตลง อับดุลลอฮ์ผู้เป็นลูก ก็ได้หามศพของพ่อไปตลอดทาง เพื่อนำศพพ่อไปละหมาดญะนาซะฮ์ที่มัสยิดของท่านนบี(ซ.ล.) โดยในวันนั้นอับดุลลอฮ์ได้เห็นท่านหุซัยฟะฮ์ละหมาดศพให้กับพ่อของเขาด้วย
เขารู้สึกดีใจมากๆ ที่ท่านหุซัยฟะฮ์มาละหมาดศพให้แก่พ่อของเขา เมื่อเสร็จจากพิธีละหมาดญะนาซะฮ์แล้ว อับดุลลอฮ์ก็ได้หามศพของท่านอุมัรไปยังบ้านของพระนางอาอิชะฮ์ และอับดุลลอฮ์ได้กล่าวว่า “ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่าน ท่านแม่ครับ ตอนนี้ศพของอุมัรลูกชายของท่าน อยู่ตรงหน้าประตูบ้านแล้ว ท่านแม่จะอนุญาตให้ฝังศพเขาในบ้านไหมครับ !?!”
แล้วท่านหญิงอาอิชะฮ์ (ร.ด.) ก็กล่าวว่า “พวกท่านจงนำศพเขา เข้ามาฝังในบ้านเถอะ !!!”
สุดท้ายแล้ว ศพของท่านอุมัรก็ได้ถูกฝังอยู่ใกล้กับสหายผู้เป็นที่รักยิ่งทั้งสองของท่าน (คือ ท่านนบี กับท่านอะบูบักร).
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เจ้ากาเฟร อะบู ลุลุอะฮ์ อัล-มะญูซีย์ คนนี้ ได้ตัดสินใจฆ่าท่านอุมัร ก็เพราะว่า ครั้งหนึ่ง มันได้เคยไปร้องเรียนกับท่านอุมัรว่า ท่านมุฆีเราะฮ์ บิน ชุอฺบะฮ์ (ร.ด.) เจ้านายของมัน ได้เรียกเก็บภาษีให้แก่รัฐจากมันเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อท่านอุมัรได้สอบสวนแล้ว ปรากฎว่าจำนวนเงินที่มันถูกเรียกเก็บภาษีนั้น ก็มีความสมเหตุสมผลกับรายได้ที่มันได้รับมาจากการทำงาน เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำให้มันไม่พอใจท่านอุมัรเป็นอย่างมาก และนำมาซึ่งการลอบสังหารท่านอุมัรในที่สุด.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " วินาทีลอบสังหารท่านเคาะลีฟะฮ์ อุมัร อิบนุล ค็อตต้อบ ร.ด. "