ขายเว็บนี้ ติดต่อ LINE : 0895172266
วันจันทร์, 29 เมษายน 2567

สะอีด อิบนฺ อามิร อัลญุมะฮีย์ : ผู้ยิ่งใหญ่ภายใต้เสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง

สะอีด อิบนฺ อามิร (سعيد ابن عامر الجمحي) ผู้สละโลกดุนยาเพื่อโลกอาคิเราะฮฺ และเทอดทูนอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด ชายหนุ่มที่มีชื่อว่า “สะอีด อิบนฺ อามิร อัลญุมะฮีย์” เป็นหนุ่มคนหนึ่งในบรรดาเด็กหนุ่มทั้งหลายที่ได้ออกไปยังตำบล “อัตตะนะอีม” ซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองมักกะฮฺ ตามคำเชื้อเชิญของผู้นำชาวกุเรช เพื่อเป็นสักขีพยานในการประหาร “คุไบบ อิบนฺ อะดียฺ” (خبيب ابن عدي) สาวกคนหนึ่งของท่านนะบีมุฮัมมัด  หลังจากพวกกุเรชได้รับความสำเร็จในการหลอกลวงเขาให้ตกเป็นเชลย ความหนุ่มแน่นและร่างกายกำยำของสะอีดทำให้เขาเบียดฝูงชนเข้าไป จนกระทั่งไปยืนอยู่แถวหน้าเคียงบ่าเคียงไหล่กับบรรดาผู้นำชาวกุเรช เช่น อะบูซุฟยาน อิบนฺ หัรบฺ, ศ็อฟวาน อิบนฺ อุมัยยะฮฺ และบุคคลอื่นๆ
 

ในวันนั้นเขามีโอกาสได้เห็นเชลยของกุเรช คือ คุไบบ ถูกมัดมือมัดเท้าและถูกจูงไปยังแท่นที่เตรียมไว้เพื่อรับการทรมานก่อนถูกประหารชีวิต ขณะเดียวกัน เสียงปรบมือของฝูงชนที่มีทั้งหญิงชายหนุ่มแก่และเด็ก เป็นการเร่งเร้าประชาชนให้มารุมล้อมเพื่อให้เกิดความคั่งแค้นต่อท่านนะบีมุฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และเป็นการแก้แค้นให้แก่ผู้ที่เสียชีวิตในสงครามบัดรฺต่อเชลยคนนี้ คือคุไบบที่กำลังเป็นเป้าสายตานับจำนวนพันๆ คู่
 

เมื่อคลื่นของฝูงชนพร้อมด้วยเชลยเคลื่อนขบวนไปถึงสถานที่ที่เตรียมไว้เพื่อประหารชีวิตแล้ว ชายหนุ่ม สะอีด อิบนฺ อามิร อัลญุมะฮีย์ ซึ่งมีร่างสูงใหญ่ ก็หยุดยืนทอดสายตาไปยังคุไบบ ซึ่งกำลังถูกนำขึ้นสู่แท่นเพื่อรอเวลาสังหารชีวิตของเขา ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงก้อง หนักแน่นและเนิบช้าดังลอดออกมาท่ามกลางเสียงกู่ตะโกนของบรรดาสตรีและเด็ก เสียงนั้นกล่าวขึ้นว่า
“หากพวกท่านจะอนุญาตให้ฉันทำการละหมาด 2 ร็อกอะฮฺ ก่อนความตายจะมาถึง ก็จะเป็นการดียิ่งแก่ฉัน…”
 

แล้วเขาก็มองไปยังคุไบบซึ่งกำลังหันหน้าไปทางอัลกะอฺบะฮฺ และก็ละหมาด 2 ร็อกอฮฺ มันช่างเป็นการละหมาดที่เรียบร้อยและสมบูรณ์ยิ่ง หลังจากนั้นสะอีดก็มองเห็นคุไบบหันหน้าไปยังบรรดา ผู้นำชาวกุเรชแล้วกล่าวขึ้นว่า

“ฉันขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ หากฉันไม่เกรงว่าพวกท่าน จะนึกว่าฉันละหมาดเสียนานเพราะกลัวความตายละก็ ฉันจะละหมาดให้นานกว่านี้…”
 

แล้วนาทีสุดท้ายแห่งชีวิตของ คุไบบ ก็มาถึง สะอีดเฝ้ามองดูพวกกุเรชใช้อาวุธทุกชนิดเข้าห้ำหันร่างกายของคุไบบอย่างโหดร้ายทารุณที่สุด แล้วพวกเขาก็กล่าวเชิงเยาะเย้ยคุไบบว่า ท่านจะพอใจหรือไม่ที่จะให้ มุฮัมมัด มายืนแทน เพื่อให้ท่านรอดพ้นจากการทรมานครั้งนี้?
 

คุไบบ ได้กล่าวตอบพวกกุเรชออกไป ทั้งๆ ที่เลือดกำลังไหลพุ่งออกมาจากร่างกายของเขาว่า

ฉันขอสาบานด้วยพระนามอัลลอฮฺ ฉันไม่ปรารถนาที่จะได้รับความปลอดภัยและมีความสุขท่ามกลางครอบครัวของฉัน โดยปล่อยให้มุฮัมมัด ได้รับอันตรายแม้กระทั่งถูกเสี้ยนหนามตำ ทันใดนั้นฝูงชนก็ชูมือขึ้นแล้วตะโกนเป็นเสียงเดียวกันว่า ฆ่ามันเสีย! ฆ่ามันเสีย…!
 

สะอีด อิบนฺ อามิร ซึ่งกำลังจับตามองคุไบบ ทุกอิริยาบท เห็นเขาทอดสายตาขึ้นไปเบื้องบนพลางกล่าวว่า

 (اللهم أحصهم عددًا، واقتلهم بددًا، ولا تبق منهم أحدًا)

“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ขอพระองค์ทรงนับจำนวนพวกเขาไว้ แล้วฆ่าอย่างทรมานเสีย อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!”
 

แล้วคุไบบก็สิ้นลมหายใจเฮือกสุดท้าย โดยไม่มีใครสามารถนับจำนวนแผลที่ถูกแทงถูกฟันจากหอกและคมดาบให้ครบถ้วนหลังจากเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว พวกกุเรชพากันกลับเข้าสู่มักกะฮฺ โดยไม่ใยดีต่อสภาพการสูญเสียชีวิตของ คุไบบ
 

แต่ชายหนุ่มที่กำลังย่างเข้าสู่วัยเบญจเพศ สะอีด อิบนฺ อามิร อัลญุ มะฮีย์ นั้นเล่า! ภาพของคุไบบ ซึ่งพวกชาวกุเรชได้เปล่งเสียงร้องแสดงความดีใจ เป็นภาพที่ประทับตาของเขาอย่างไม่มีวันลืมเลือน สะอีดมองเห็นคุไบบ ในฝันเมื่อเขานอน เวลาตื่นก็เห็นเป็นภาพหลอนตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพการละหมาด 2 ร็อกอะฮฺ ท่ามกลางมหาชนกับเสียงกังวาฬก้องหูทั้งสองขณะที่เขาขอพรต่ออัลลอฮฺตะอาลาให้ลงบะลาอฺแก่พวกมุชริกีน เกรงไปว่าพระองค์จะทรงให้ฟ้าผ่าลงมา หรือจะมีก้อนหินโปรยลงมาจากท้องฟ้า
 

นอกจากนั้นแล้ว คุไบบยังสอนให้สะอีดรู้ในสิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลย…สอนให้เขารู้ว่าการมีชีวิตอยู่ที่แท้จริงนั้นคือ การศรัทธาและการเสียสละในทางของการศรัทธาจนกระทั่งตาย สอนเขาว่าการศรัทธาที่แท้จริงนั้น ทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์และแปลกประหลาดได้อย่างน่าปาฏิหารย์ และสอนเขาอีกว่า บุคคลซึ่งบรรดาสาวกรักเขาอย่างท่วมท้นนี้ แท้จริงก็คือ นะบี ที่ได้รับการสนับสนุนจากฟากฟ้านั่นเอง!
 

ณ บัดนั้นเอง อัลลอฮฺ ตะอาลาทรงเปิดหัวใจของ สะอีด อิบนฺ อามิร ให้เข้าสู่อิสลาม เขาจึงยืนขึ้นท่ามกลางฝูงชน ประกาศการปลีกตัวของเขาออกจากการกระทำอันน่าอัปยศ และบาปขั้นอุกฤษณ์ของพวกกุเรช และไม่ใยดีหรือเข้าไปใกล้รูปปั้นและเจว็ดต่างๆอีกต่อไป พร้อมกับประกาศว่าเขาได้ยอมรับนับถือศาสนาที่แท้จริงของอัลลอฮฺแล้ว
 

สะอีด อิบนฺ อามิร ได้อพยพไปยังนครอัลมะดีนะฮฺเฝ้าติดตามท่านร่อซูลลุลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในสงครามค็อยบัรและสงครามครั้งอื่นๆ อีกหลายครั้ง ขณะที่ท่านร่อซูลลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ถึงอะญัลของอัลลอฮฺ ท่านพอใจสะอีดมาก หลังจากนั้นสะอีดก็ยังคงเป็นทหารคนสนิท และกล้าหาญเด็ดเดี่ยวในสมัยของ ค่อลีฟะฮฺ อะบูบักรฺ และค่อลีฟะฮฺอุมัร ได้ใช้ชีวิตเป็นแบบอย่างที่ดีของมุอฺมินที่สละแล้วซึ่งโลกดุนยา เพื่อโลกอาคิเราะฮฺ เทอดทูนความโปรดปรานความพอใจของอัลลอฮฺ และหวังการตอบแทนจากพระองค์เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด
 

ท่านค่อลีฟะฮฺของท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ทั้งสองท่าน ตระหนักดีถึงความสัจจะและการตักวาของสะอีด อิบนฺ อามิร เป็นอย่างดี ท่านทั้งสองจึงรับฟังข้อคิดเห็นและการแนะนำของสะอีดในทุกโอกาส เมื่ออุมัร อิบนฺ อัลค็อฏฏ๊อบ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นค่อลีฟะฮฺคนที่สอง สะอีดได้เข้าไปหาท่านแล้วกล่าวขึ้นว่า
 

โอ้ อุมัรเอ๋ย! ฉันขอร้องให้ท่านยำเกรงอัลลอฮฺในเรื่องของมนุษย์ และอย่ากลัวมนุษย์ในเรื่องของอัลลอฮฺ อย่าให้คำพูดของท่านผิดไปจากการกระทำของท่าน เพราะการพูดที่ดีนั้นจะต้องตรงกับการปฏิบัติ… โอ้ อุมัรเอ๋ย! จงเอาใจใส่ต่อผู้ที่อัลลอฮฺแต่งตั้งเป็นตัวแทนของท่าน เพื่อพี่น้องมุสลิมทั้งที่ใกล้และที่ไกล จงรักใคร่เพื่อพวกเขาเหมือนกับที่ท่านรักเพื่อตัวของท่านเอง จงรักใคร่เพื่อพวกเขาเหมือนกับที่ท่านรักเพื่อตัวของท่านเอง และญาติพี่น้องของท่าน และจงเกลียดชังเพื่อพวกเขา เสมือนกับที่ท่านไม่ชอบที่จะให้ได้แก่ตัวท่าน และญาติพี่น้องของท่าน จงเข้าสู่สมรภูมิเพื่อแสวงหาความจริงและอย่าได้เกรงกลัวข้อครหาของมนุษย์แต่ประการใด
 

อุมัรกล่าวแก่สะอีดว่า แล้วใครเล่าจะสามารถปฏิบัติเช่นนั้นได้ ? โอ้ สะอีดเอ๋ย! เขาตอบว่า คนที่สามารถปฏิบัติได้ก็คือ บุคคลเช่นเดียวกับท่านจากผู้ที่ อัลลลอฮฺตะอาลา ทรงแต่งตั้งเขาเพื่อดูแลกิจการของประชาชาติมุฮัมมัด และไม่มีผู้ใดเข้ามาเกี่ยวข้องได้ ระหว่างเขากับอัลลอฮฺ ดังนั้น อุมัร อิบนฺ อัลบค็อฏฏ็อบ จึงขอร้องสะอีดให้ร่วมมือและสนับสนุนเขาโดยกล่าวว่า โอ้ สะอีดเอ๋ย! ฉันขอแต่งตั้งท่านให้ไปปกครองชาวเมือง “ฮิมศฺ” (ขณะนี้อยู่ในประเทศซีเรีย)
 

สะอีดกล่าวตอบว่า : โอ้ อุมัรเอ๋ย! ฉันขอสาบานด้วยพระนามอัลลอฮฺว่า ท่านอย่าทำให้ฉันหลงทางและฝักใฝ่ในเรื่องของดุนยาเลย เมื่ออุมัรได้ยินเช่นนั้นก็โกรธ และกล่าวขึ้นว่า ขอความพินาศจงมีแด่ท่าน พวกท่านเอาตำแหน่งค่อลีฟะฮฺแขวนไว้ที่คอของฉัน แล้วพวกท่านก็จะเอาตัวรอด!! ฉันขอสาบานด้วยพระนามอัลลอฮฺ ฉันจะไม่ยอมปล่อยท่าน แล้วอุมัรก็ได้แต่งตั้งสะอีดให้เป็นผู้ปกครองเมือง “ฮิมศฺ” และกล่าวขึ้นว่า เราจะไม่ตั้งเงินเดือนให้แก่ท่านหรือไง? สะอีดกล่าวว่า ฉันจะเอาไปทำอะไร โอ้! ท่านอะมีรุลมุอฺมินีน เพราะเงินที่ฉันได้รับจากบัยตุลมาล ก็เกินความต้องการของฉันแล้ว 
 

หลังจากนั้นสะอีดก็เดินทางไปรับตำแหน่ง ณ เมือง “ฮิมศฺ” หลังจากนั้นระยะหนึ่ง ก็มีคณะผู้แทนซึ่งเป็นคนสนิทของค่อลีฟะฮฺ ซึ่งเป็นชาวเมือง “ฮิมศฺ” จำนวนหนึ่งได้มาหาค่อลีฟะฮฺ เพื่อรายงานเหตุการณ์และความเป็นอยู่ของชาวเมืองนั้น ท่านค่อลีฟะฮฺจึงได้แจ้งให้คณะผู้แทนว่าขอให้นำรายชื่อผู้ยากจนขัดสนจริงๆ ของชาวเมืองฮิมศฺ เสนอขึ้นมาเพื่อที่จะจัดงบประมาณช่วยเหลือเป็นประจำปี เมื่อค่อลีฟะฮฺได้อ่านรายชื่อแล้ว ปรากฏว่ามีชื่อของ สะอีด อิบนฺ อามิร รวมอยู่ในจำนวนผู้ที่สมควรจะได้รับความช่วยเหลือด้วย อุมัรจึงถามขึ้นว่า ใครเล่าชื่อสะอีด อิบนฺ อามิร? คณะผู้แทนตอบว่า “ก็ผู้ครองเมืองของเราไงเล่าท่าน” ค่อลีฟะฮฺถามว่า “ผู้ครองเมืองของพวกท่านเป็นคนยากจนหรือ ?” คณะผู้แทนตอบว่า ใช่ครับ พวกเราขอสาบานด้วยพระนามอัลลอฮฺว่า วันเวลาได้ผ่านไปเป็นเวลาหลายวัน พวกเราไม่เห็นมีควันไฟออกมาจากบ้านเขาเลย
 

เมื่ออุมัรได้ยินคณะผู้แทนเล่าให้ฟังเช่นนั้น ก็ร้องไห้จนกระทั่งน้ำตาไหลเปียกเคราของท่าน แล้วก็ลุกขึ้นไปนำเงินมาหนึ่งพันดีนารใส่ไปในถุง แล้วกล่าวขึ้นว่า พวกท่านจงอ่านสลามของฉันให้แก่เขาด้วย แล้วบอกกับเขาด้วยว่า อะมีรุลมุอฺมินีน ส่งเงินจำนวนนี้มาเพื่อให้ท่านนำไปใช้จ่ายตามแต่จะเห็นสมควร เมื่อคณะผู้แทนได้มาหาสะอีดพร้อมด้วยถุงเงิน ซึ่งค่อลีฟะฮฺฝากมาให้ เขาได้มองดูถุงนั้นปรากฏว่ามีเงินอยู่ในนั้น พร้อมกับโบกมือให้นำออกไปห่างไปจากเขา แล้วกล่าวขึ้นว่า 

“อินนาลิลลาฮิ วะอินนา ฮิลัยฮิรอญิอูน”

ดูประหนึ่งได้เกิดเหตุใหญ่โตขึ้นกับเขา เมื่อภรรยาของเขาได้ยินก็ตกใจกล่าวขึ้นว่า เกิดอะไรขึ้น โอ้ ! สะอีด ?! อะมีรุลมุอฺมินีน เสียชีวิตกระนั้นหรือ ?! เขาตอบว่า : แต่ว่ามันร้ายยิ่งกว่านั้นเสียอีก นางถามต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้นก็เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นกับบรรดามุสลิมนะซิ ?! เขาตอบว่า แต่มันร้ายยิ่งกว่านั้นเสียอีก นางถามว่า ถ้าเช่นนั้นอะไรเล่าที่ร้ายยิ่งนัก เขาตอบว่า โลกดุนยาเข้ามาหาฉันเพื่อทำลายโลกอาคิเราะฮฺ ของฉัน ฟิตนะฮฺได้เกิดขึ้นในบ้านของฉันแล้ว นางกล่าวเสริมว่า ก็จงขจัดมันเสียซิ (โดยที่นางไม่รู้เรื่องเงินที่อะมีรุลมุอฺมินีนฝากมาให้) เขากล่าวตอบไปว่า : ท่านจะช่วยฉันขจัดมันได้ไหม ? นางกล่าวตอบไปว่า : ได้ซี แล้วสะอีดก็ได้นำเงินจำนวนหนึ่งพันดีนารให้ภรรยาของเขาใส่ในถุงเล็กๆแล้วแจกจ่ายแก่บรรดาผู้ยากจนต่อไป
 

ต่อมาอีกระยะหนึ่ง ค่อลีฟะฮฺ อุมัร อิบนฺ อัลค็อฏฏ็อบ ก็ได้มาเยือนประเทศชาม เพื่อตรวจสอบทุกข์สุขของประชาชน เมื่อเดินทางมาถึงเมือง “ฮิมศฺ” และพำนักอยู่ที่นั่น ชาวเมืองนั้นก็ทยอยกันเข้ามาเยี่ยมคาราวะแด่ค่อลีฟะฮฺ ท่านได้ถามชาวเมืองว่า พวกท่านเห็นเป็นอย่างไรกับผู้ครองเมืองของพวกท่าน ชาวเมืองนั้นก็พากันร้องเรียนต่อค่อลีฟะฮฺ ถึงข้อบกพร่อง 4 ประการ ที่มีในตัวของสะอีดผู้ครองเมือง “ฮิมศฺ” แต่ละเรื่องเป็นที่น่าตำหนิไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย
 

อุมัรได้กล่าวว่า ขอให้ไปเรียกสะอีด และชาวเมืองฮิมศฺมาพบปะกัน และฉันขอพรต่ออัลลอฮฺตะอาลา อย่าให้ฉันต้องประสบความผิดหวังในตัวสะอีดเลย เพราะฉันมีความเชื่อมั่นต่อเขามาก เมื่อทั้งสองฝ่ายได้มาพร้อมหน้ากัน ฉันได้กล่าวขึ้นว่า พวกท่านจะมีอะไรมาร้องเรียนเกี่ยวกับผู้ครองเมืองของพวกท่านก็จงกล่าวมา พวกเขากล่าวว่า 
 

ข้อที่หนึ่ง เขา (หมายถึงสะอีด) ไม่ออกจากบ้านมาทำงานจนกว่าตะวันจะโด่งแล้ว อุมัรได้กล่าวถามสะอีดว่า ท่านมีอะไรจะแก้ข้อกล่าวหาบ้างไหม โอ้ ! สะอีดเอ๋ย !? เขาหยุดนิ่งอยู่ขณะหนึ่งแล้วกล่าวว่า ฉันขอสาบานด้วยพระนามอัลลอฮฺ ฉันไม่อยากที่จะแก้ตัวแต่อย่างใด แต่ในเมื่อจำเป็นฉันก็จะขอกล่าวว่า ที่บ้านของฉันไม่มีคนรับใช้ ทุกๆ เช้าฉันจะทำหน้าที่เป็นคนนวดแป้ง แล้วก็คอยจนกระทั่งผิงเป็นขนมปังเสร็จ หลังจากนั้นฉันก็จะอาบน้ำละหมาด แล้วก็ออกไปทำงาน
 

อุมัรกล่าวแก่ประชาชนที่มารับฟังต่อไปว่า พวกท่านมีอะไรจะร้องเรียนอีก ? พวกเขากล่าวต่อไปว่า :
 

ข้อที่สอง เขาไม่ต้อนรับผู้ร้องเรียนคนใดในเวลากลางคืน อุมัร กล่าวถามสะอีดต่อไปว่า อะไรคือข้อแก้ตัวของท่านเล่า โอ้ สะอีดเอ๋ย !เขากล่าวว่า ข้อนี้ก็เหมือนกันฉันไม่อยากจะแก้ข้อกล่าวหานี้เลย แต่ก็เอาละฉันจะแจ้งให้ทราบว่า ในเวลากลางวันฉันได้รับใช้พวกเขามาทั้งวัน ส่วนกลางคืนก็ควรจะเป็นของอัลลอฮฺตะอาลาบ้างซิ !
 

แล้วอะไรอีกเล่าที่พวกท่านจะร้องเรียนในข้อต่อไป? พวกเขากล่าวว่า :
 

ข้อที่สาม เขาไม่ออกไปทำงานหนึ่งวัน ในรอบเดือนหนึ่ง โอ้! สะอีดเอ๋ย ! อะไรคือข้อแก้ตัวของท่านสะอีดกล่าวว่า ฉันไม่มีคนรับใช้ ท่านอะมิรุลมุอฺมินีนที่รัก ฉันไม่มีเสื้อตัวอื่น นอกจากตัวที่ฉันสวมใส่อยู่นี้ เดือนหนึ่งฉันซักมันครั้งหนึ่ง เมื่อฉันซักฉันก็ต้องรอให้มันแห้ง แล้วฉันก็ออกไปหาพวกเขาในเวลาเย็น
 

อุมัรกล่าวอีกว่า มีอะไรร้องเรียนอีกไหม? พวกเขากล่าวว่า
 

ข้อที่สี่ สภาพของการลืมตัวจะเกิดขึ้นกับเขาเป็นบางครั้งบางคราวแล้วเขาก็ไม่ใยดีกับผู้ที่นั่งอยู่กับเขา มันเกิดอะไรขึ้นกับท่าน โอ้ ! สะอีดเอ๋ย ! อุมัรกล่าวกับเขาในที่สุดเขากล่าวว่า เมื่อครั้งฉันเป็นมุชริก ฉันได้ไปร่วมสังเกตการณ์การสังหาร คุไบบ อิบนฺ อะดียฺ ฉันได้เห็นพวกกุเรชทรมานเขา ทั้งฟันทั้งแทง แล้วพวกเขากล่าวขึ้นว่า ท่านจะพอใจหรือที่จะให้มุฮัมมัดมายืนแทน เพื่อให้ท่านรอดพ้นจาการทรมานครั้งนี้ ?
 

คุไบบกล่าวว่า “ฉันขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ฉันไม่ปรารถนาที่จะได้รับความปลอดภัย และมีความสุขท่ามกลางครอบครัวของฉัน โดยปล่อยให้มุฮัมมัดได้รับอันตรายแม้กระทั่งถูกหนามตำ..”
 

ฉันขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺว่า ทุกครั้งที่ฉันรำลึกถึงวันนั้น ว่าทำไมฉันจึงนิ่งเฉยไม่ช่วยเหลือเขา ฉันจึงหวั่นเกรงว่า อัลลอฮฺตะอาลา จะไม่ทรงยกโทษให้แก่ฉัน.. และนี่แหละคือสภาพการลืมตัวที่ประสบแก่ฉันเป็นบางครั้งบางคราว เมื่อฉันรำลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น
 

เมื่ออุมัรได้ยินคำกล่าวแก้ตัวของสะอีดจบลง เขาก็กล่าวขึ้นว่า อัลฮัมดุลิ้ลลาฮฺ เขาไม่ทำให้ฉันผิดหวัง แล้วก็ได้ส่งเงินจำนวนหนึ่งพันดีนารให้แก่เขาเพื่อช่วยเหลือในการใช้จ่าย เมื่อภรรยาของสะอีดเห็นเงินจำนวนดังกล่าว ก็กล่าวขึ้นว่า อัลฮัมดุลิ้ลลาฮฺ ที่ได้ให้เราได้พักผ่อนจากการทำงานครั้งนี้เสียที เอาเงินจำนวนนี้ไปซื้อสะเบียง และหาคนรับใช้มาอยู่กับเราสักคนหนึ่ง สะอีดได้กล่าวกับภรรยาของเขาว่า เธอไม่อยากได้อะไรที่ดีไปกว่านั้นรึ ? นางกล่าวว่า : อะไรเล่า ? เขาตอบว่า : เราจ่ายเงินนี้ให้แก่ผู้ที่มาหาเรา ในขณะที่เราก็มีความต้องการเงินจำนวนนี้ นางกล่าวว่า : ทำอย่างไร ? เขาตอบว่า : เราให้อัลลอฮฺขอยืมเงินจำนวนนี้ไงเล่า ? นางกล่าวว่า : ดีแล้ว ท่านจะได้รับการตอบแทนที่ดีก่อนที่สะอีดจะออกจากที่ชุมนุมวันนั้น เขาได้จัดการกับเงินจำนวนนั้น โดยจัดทำเป็นถุงเล็กๆหลายๆถุง แล้วก็กล่าวกับชายคนหนึ่ง ณ ที่นั้นว่า จงนำเงินถุงนี้ไปมอบให้แม่หม้ายคนนั้น และบรรดาเด็กกำพร้าเหล่านั้น และคนยากจนตระกูลนั้น และผู้ขัดสนตระกูลนั้นๆ
 

นี่คือชีวประวัติของสาวกคนหนึ่ง ที่กลัวว่าโลกดุนยาจะทำให้เกิดฟิตนะฮฺขึ้นในบ้านของเขา และจะมาทำลายล้างโลกอาคิเราะฮฺที่เขายึดเป็นเป้าหมาย และชะตากรรมของเขา เราท่านที่กำลังลืมตัวตะเกียกตะกายกันจนไม่มีเวลาคิดถึงอาคิเราะฮฺเท่าที่ควร และคิดว่าความตายยังห่างไกลจากตัวเรานั้น ขอได้โปรดใช้เวลาสักเล็กน้อยเพื่อทบทวนชีวิตของตัวเอง แล้วนำไปเปรียบเทียบกับเสี้ยวหนึ่งของชีวิตบรรดาศ่อฮาบะฮฺดูบ้าง เชื่อว่าเปอร์เซ็นต์แห่งการลืมตัวคงจะลดลงไม่มากก็น้อย อินชาอัลลอฮฺ

ที่มาของเนื้อหา:islaminthailand.org