 |
 |
 |
 |
 |
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลเมียนมายุติการใช้ความรุนแรงต่อชาวโรฮิงญา ขณะที่นายอันโตนิโอ กูแตร์เรช เลขาธิการสหประชาชาติระบุว่า สถานการณ์ในรัฐยะไข่ คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลเมียนมา ยุติการใช้ความรุนแรงต่อชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ ลดความตึงเครียดของสถานการณ์ นำหลักกฎหมายกลับมาใช้ปกป้องพลเรือน และแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัย โดยนายแมทธิว ไรครอฟต์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำสหประชาชาติเปิดเผยว่า แถลงการณ์ฉบับนี้เป็นแถลงการณ์ฉบับแรกในรอบ 9 ปีในกรณีของเมียนมา ที่ได้รับความเห็นชอบจากประเทศสมาชิกของ UNSC ทั้งหมด รวมทั้งจีนและรัสเซียที่ก่อนหน้านี้มักแสดงจุดยืนปกป้องรัฐบาลเมียนมา
ขณะที่นายอันโตนิโอ กูแตร์เรช เลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งได้เข้าร่วมการประชุมของ UNSC เรียกร้องให้รัฐบาลเมียนมายุติปฏิบัติการทางการทหาร ความรุนแรง ยึดหลักกฎหมายเป็นที่ตั้ง และตระหนักถึงสิทธิในการเดินทางกลับบ้านเกิดของพลเรือน ที่ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ โดยนายกูแตร์เรชระบุว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมียนมาเป็นการ ‘ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ที่ส่งผลให้ชาวโรฮิงญาถึง 1 ใน 3 ของจำนวนประชากรชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ
อย่างไรก็ตาม นายซอว์ เตย์ โฆษกรัฐบาลเมียนมาประกาศว่า นางออง ซาน ซูจี มนตรีแห่งรัฐและรมว.กระทรวงการต่างประเทศเมียนมา ยกเลิกการเข้าร่วมประชุมยูเอ็นจีเอในปีนี้ โดยนายเฮนรี แวน เตียว รองประธานาธิบดีคนที่ 2 จะนำคณะเข้าร่วมการประชุมแทน
นอกจากนี้ นายซอว์ เตย์ กล่าวด้วยว่า การปะทะครั้งล่าสุดระหว่างกองทัพกับกลุ่มติดอาวุธกองทัพกอบกู้โรฮิงญาาแห่ง อาระกัน ( อาร์ซา ) เกิดขึ้น 86 ครั้ง ตลอดทั้งวันที่ 5 ก.ย. แต่หลังจากนั้นยังไม่มีอีก และจากจำนวนหมู่บ้านของ “ชาวเบงกาลี” 471 แห่งในรัฐยะไข่นั้น 176 แห่งมีการอพยพออกไปหมดแล้ว ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์รุนแรงที่ยืดเยื้อตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค. อยู่ที่ “ประมาณ 400 คน” ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกอาร์ซา พร้อมทั้งย้ำว่าเมียนมาจะไม่มีทางเพิกเฉยต่อ “กลุ่มก่อการร้าย”.
 |
 |
 |
 |
 |
