วันศุกร์ 4 กรกฎาคม 2568
ติดตามเว็บไซต์
หน้าแรก > ข่าวประจำวัน > ไทยพุทธ ไทยมุสลิม “ต่างแค่ความเชื่อ”แต่ไม่ได้สอนให้คนเกลียดชังกัน

ไทยพุทธ ไทยมุสลิม “ต่างแค่ความเชื่อ”แต่ไม่ได้สอนให้คนเกลียดชังกัน

หมวดหมู่ : ข่าวประจำวัน เปิดอ่าน 524 ครั้ง

ไทยพุทธ ไทยมุสลิม “ต่างแค่ความเชื่อ”แต่ไม่ได้สอนให้คนเกลียดชังกัน ดังนั้น เราต้องนับถือ ให้เกียรติ ช่วยเหลือกันและกัน เพราะเราต่างเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
***********///**********

???????? คนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ไม่ว่าจะนับถือศาสนาพุทธหรือศาสนาอิสลาม เคยอยู่ร่วมกันอย่างสงบและปลอดภัยมานานนับร้อยๆ ปี ซึ่งอยู่ร่วมกันอย่างเข้าอกเข้าใจกันเป็นภาพประทับใจที่ไม่เพียงส่งผลต่อสภาพจิตใจที่ดีเท่านั้น ยังส่งผลดีต่อชีวิตทางเศรษฐกิจของส่วนรวมและชีวิตความเป็นอยู่ทั่ว ๆ ไปด้วย

“ศาสนา” ปัญหาหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นเรื่องอ่อนไหวซึ่งสามารถทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนในพื้นที่ได้ คือการดูถูกกันในเรื่องความเชื่อ โดยเฉพาะการที่ชาวมุสลิมเชื่อหรือศรัทธาใน “อัลลอฮฺ” (Allah) เนื่องจากศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่เชื่อและศรัทธาในพระเจ้า ในขณะที่ศาสนาพุทธไม่เชื่อในพระเจ้า หลายคนจึงคิดว่าทั้งสองศาสนานี้ไม่มีวันจะเข้าใจกันได้ เมื่อไม่เข้าใจกันแล้ว ก็เลยพาลดูถูกเหยียดหยามสิ่งที่อีกศาสนาหนึ่งนับถือและศรัทธา ทำให้ความไม่เข้าใจกันยิ่งถ่างกว้างออกไปอีก แต่ในแง่ของสังคมมิได้ห้ามจะคบค้าสมาคมระหว่างกัน ด้วยหลักการของอัลกุรอานที่กล่าวไว้ ความว่า “ไม่มีการบังคับใดๆ (ให้นับถือ) ในศาสนาอิสลาม” ซึ่งแปลว่าอิสลามได้วางกติกาอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่ได้มีการเพิ่มเติมตีความว่า คนต่างศาสานิกคือคนไม่ได้ไม่ต้องไปให้ความร่วมมือ

???????? ล่าสุดได้มีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องศาสนาในพื้นที่ ที่มีบุคคลพยายามสร้างความแตกแยกในพื้นที่กับข้อความที่ว่า “พระเจ้าทรงชอบผู้ที่ทำตามจะได้ขึ้นสวรรค์ และไม่ทรงชอบคนกาเฟร”(คนต่างศาสนิก) ซึ่งได้มีการตีความไปเองว่าเราคนมุสลิมอย่าไปให้ความร่วมมือต่อคนต่างศาสนิก เพราะไม่ใช่ความประสงค์ของอัลลอฮ เป็นการตีความที่ผิด และอาจก่อให้ให้เกิดความขัดแย้งในพื้นที่ได้

ผู้รู้ท่านหนึ่งได้กล่าวว่า…แน่นอนพระเจ้าทรงรักผู้ที่ศรัทธาต่อพระองค์และทรงไม่ไม่ชอบผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อพระองค์แต่ไม่ใช่ว่าพระองค์ให้รังเกียจผู้ที่ไม่ศรัทธาอิสลามให้มุสลิมมีความรักต่อมุสลิมด้วยกัน แต่ในขณะเดียวกันให้เมตตาคนที่ไม่ศรัทธาต่อพระองค์ด้วย

ส่วนประเด็นการต่อสู้นั้น เว้นแต่ผู้นั้นมารุกรานอิสลามและมาทำร้ายมุสลิม ซึ่งในประเทศไทยเป็นประเทศที่เปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถดำรงชีพได้ทุกประการไม่มีการกีดกั้นทางศาสนา อิสลามไม่ส่งเสริมการรุกรานคนอื่น ดังปรากฏในบทบัญญัติในเรื่องเสรีภาพในการนับถือศาสนา ซึ่งแสดงถึงการเคารพในความแตกต่างกันในสังคมแห่งการอยู่ร่วมกัน เช่น การศรัทธาในศาสนาเราแตกต่างกันได้ แต่การร่วมมือในการทำความดี เราต้องส่งเสริมให้ทำถึงแม้กับคนที่ไม่ไม่ใช่มุสลิมด้วยกันก็ตาม

เคยมีคนสงสัยถามผมว่า ชาวมุสลิมสามารถถวายของเช่นอาหารให้พระสงฆ์ได้หรือไม่? ก็ต้องมาดูบริบทว่า ณ ตอนนั้น คนมุสลิมให้ของพระสงฆ์ในฐานะอะไร? ถ้าผู้ให้มองว่าเป็นการทำบุญเพื่อเวลาที่ตนเองตายไปจะได้ไปอยู่บนสวรรค์ การให้ด้วยความเชื่อแบบนั้นมุสลิมย่อมทำไม่ได้ เพราะขัดกับความเชื่อในหลักเอกภาพของพระเป็นเจ้าของศาสนาอิสลาม แต่ถ้าให้ในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์ ให้อาหารท่านเพราะในชุมชนนั้นไม่มีชาวพุทธอยู่เลย แล้วพระท่านเดินผ่านมา บริบทนี้ เป็นหน้าที่ด้วยซ้ำที่ชาวมุสลิมจะต้องให้อาหารแก่ท่าน เพราะการปล่อยให้พระหิว ไม่มีอะไรกินเลย ย่อมเป็นบาปด้วยซ้ำ

อิสลามสอนว่า “นบีมูฮัมหมัดถูกส่งมายังโลกนี้ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากเพื่อความเมตตาของมนุษยชาติ” ดังนั้น อิสลามไม่ได้สอนให้มุสลิมแบ่งปันความเมตตาให้กับคนในศาสนาเดียวกันเท่านั้น แต่ต้องเผื่อแผ่ถึงมนุษย์ทุกคน รวมถึงทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสรรค์สร้าง ดังนั้น เราต้องนับถือ ให้เกียรติ ช่วยเหลือกันและกันเพราะเราต่างเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะศาสนาอิสลามสอนอีกว่า “การรับใช้ผู้อื่น ถือเป็นการรับใช้พระผู้เป็นเจ้า”

บทความนี้เพื่อให้ผู้นับถือศาสนาทั้งสองได้มีโอกาสทำความเข้าใจกับศาสนาของเพื่อน รวมทั้งศาสนาที่ตนเองนับถืออย่างลึกซึ้งด้วย เพื่อที่จะได้มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขบนผืนแผ่นดินนี้ ดูน้อยลง…

#พหุวัฒนธรรมชายแดนใต้
#เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน
#บอกข่าวเล่าเรื่องชายแดนใต้

บอกข่าว เล่าเรื่องชายแดนใต้

เปิดอ่าน 524 ครั้ง

ข่าวล่าสุดของหมวดหมู่ ข่าวประจำวัน

แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " ไทยพุทธ ไทยมุสลิม “ต่างแค่ความเชื่อ”แต่ไม่ได้สอนให้คนเกลียดชังกัน "

ปิดการแสดงความคิดเห็น