แกนนำสองพรรคในคองเกรสจี้ทรัมป์ ลงโทษเจ้าชายซาอุฯ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ “กลับลำ” เรื่องปมการเสียชีวิตของนายจามาล คาช็อกกี ด้วยการกล่าวว่าซาอุดีอาะเบีย “ยังมีเรื่องปกปิด” ขณะที่แกนนำสองพรรคในสภาคองเกรสเรียกร้องผู้นำสหรัฐ ลงโทษ มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทสสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 21 ต.ค. ว่าในบทสัมภาษณ์พิเศษตอนหนึ่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับเดอะ วอชิงตัน โพสต์ เผยแพร่เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ผู้นำสหรัฐกลับลำอย่างชัดเจนทั้งที่เคยกล่าวเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ว่าคำอธิบายของรัฐบาลริยาดเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายจามาล คาช็อกกี ซึ่งหายตัวไปในสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองอิสตันบูล เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ที่ผ่านมา จาก “น่าเชื่อถือ” กลายเป็นว่า “มีการตบตาและมีการโกหกบางเรื่อง”

ทั้งนี้ ทรัมป์กล่าวว่าเขายังคง “มีความเชื่อมั่น” ในเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย และเน้นยำความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับรัฐบาลริยาดว่า “แข็งแกร่ง” เพื่อการบรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาค ทรัมป์กล่าวด้วยว่านับตั้งแต่เกิดเรื่องเขายังไม่เคยเห็นหลักฐานที่เป็นภาพ หรือได้ฟังคลิปเสียงใดที่บ่งชี้ว่าเจ้าชายโมฮัมเหม็ด หรือที่ทุกฝ่ายรู้จักกันในพระนามย่ออย่างไม่เป็นทางการด้วยว่า “เอ็มบีเอส” ทรงมีบทบาทโดยตรง อนึ่ง ทรัมป์เคยกล่าวถึงข้อตกลงความร่วมมือกับซาอุดีอาระเบียมีมูลค่าสูงถึง 450,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 14.7 ล้านล้านบาท ) ในจำนวนนี้ เป็นมูลค่าเฉพาะความร่วมมือทางทหารสูงถึง 110,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 3.6 ล้านล้านบาท )

อย่างไรก็ตาม นายบ็อบ คอร์เกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการด้านวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภา กล่าวว่าโดยส่วนตัวเขาเชื่อว่าเจ้าชายโมฮัมเหม็ดทรงอยู่เบื้องหลังการเสียชีวิตของคาช็อกกี หรืออย่างน้อยต้องทรงมีความเกี่ยวข้องบ้าง และพระองค์ทรงสมควรต้องได้รับ “ผลตอบแทน” จากการกระทำครั้งนี้ แต่การสืบสวนสอบสวนยังคงต้องดำเนินต่อไป ขณะที่นายลินด์ซีย์ เกรแฮม วุฒิสมาชิกรัฐเซาท์แคโรไลนาและเป็นหนึ่งในแกนนนำของพรรครีพับลิกัน ใช้ถ้อยคำที่รุนแรงกว่านั่นคือการเรียกร้องให้มีการปลดเจ้าชายโมฮัมเหม็ดออกจากพระอิสริยยศมกุฎราชกุมาร และนายดั๊ก เดอร์บิน รองประธานวิปเสียงข้างน้อยของพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา เรียกร้องให้มีการเนรเทศเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบีย คือเจ้าชายคาลิด บิน ซัลมาน พระอนุชาของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด.

เครดิตภาพ : AFP,REUTERS

ที่มา: เดลินิวส์