
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ว่าสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ ( โอซีเอชเอ ) รายงานว่าตลอดระยะเวลา 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีประชาชนมากกว่า 4,000 คนอพยพออกจากที่อยู่อาศัยในรัฐกะฉิ่น ที่อยู่ทางเหนือสุดของเมียนมาและมีพรมแดนติดกับจีน เพื่อหลบหนีการสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกองทัพเอกราชกะฉิ่น ( เคเอไอ ) ที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสถิติผู้อพยพดังกล่าวเป็นคนละส่วนกับประชาชนมากกว่า 15,000 คนซึ่งอพยพออกจากพื้นที่แล้วก่อนหน้านั้น
TODAY: More civilians on the move in Kachin following fighting between the Myanmar Military and the KIA in the Injangyang area. Local humanitarian organizations are helping those who manage to get out. In Hpakant and Tanai, many vulnerable people remain in conflict affected areas pic.twitter.com/X9AcFbNQrd
— Mark Cutts (@MarkCutts) April 26, 2018
Women, children, elderly people forced to flee their homes because of the relentless fighting in Kachin, Myanmar. Photos today from the Injangyang area. Local humanitarian organizations doing outstanding work trying to help. But when will this decades old conflict end? pic.twitter.com/WU72fWrx4E
— Mark Cutts (@MarkCutts) April 26, 2018
ทั้งนี้ กองทัพเมียนมากับเคเอไอกลับมาสู้รบกันอย่างหนักตั้งแต่ปี 2554 หลังสงบศึกกันได้นาน 17 ปี โดยกองทัพเมียนมาและเคเอไอเคยลงนามในข้อตกลงหยุดยิงร่วมกันเพียงฉบับเดียว เมื่อปี 2517 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเมียนมาไม่เคยเปิดเผยตัวเลขของความสูญเสียอย่างเป็นทางการ ในขณะที่องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนหลายแห่งประเมินไปในทางเดียวกันว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต “หลายพันคน” และประชาชนมากกว่า 100,000 คนต้องกลายเป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัย
แม้ทั้งสองฝ่ายพยายามเจรจากันเองอีกหลายครั้งทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เพื่อหาทางเห็นชอบการหยุดยิงร่วมกันครั้งใหม่ แต่ความพยายามเหล่านั้นไม่เคยประสบความสำเร็จ เนื่องจากต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันและกันว่าละเมิดเงื่อนไข โดยย้อนกลับไปเมื่อเดือนม.ค. 2556 รัฐบาลทหารกึ่งพลเรือนของประธานาธิบดีเต็ง เส่ง เคยประกาศหยุดยิงฝ่ายเดียวกับเคเอไอ แต่มีผลได้เพียง 48 ชั่วโมงเท่านั้น.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " ชาวเมียนมาอพยพหนีการสู้รบรอบใหม่ในรัฐกะฉิ่น "