
สำนักข่าวเอพีรายงานจากเมืองบันดาอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 13 เม.ย. ว่า บันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ที่ลงนามระหว่างนายอีร์วานดี ยูซุฟ ผู้ว่าการจังหวัดอาเจะห์ กับนายยุสปาห์รุดดิน หัวหน้าสำนักงานกฎหมายและสิทธิมนุษยชนจังหวัดอาเจะห์ กำหนดให้การเฆี่ยนจะต้องกระทำภายในเรือนจำ หรือสถานที่คุมขังอื่นๆ เท่านั้น นอกจากนั้น บุคคลในวัยผู้ใหญ่ยังสามารถเข้าชมการลงโทษได้ แต่ห้ามบันทึกเหตุการณ์ทั้งภาพและเสียง
ยูซุฟเผยหลังการลงนามในเอ็มโอยูเมื่อวันพฤหัสบดี ซึ่งมีนายยาซอนนา ลาโอลี รัฐมนตรีกระทรวงกฎหมายและสิทธิมนุษยชนอินโดนีเซียร่วมเป็นสักขีพยาน ว่า เป้าหมายของการเฆี่ยนภายในเรือนจำ เพื่อไม่ให้เด็กเห็น หรือถูกบันทึกภาพด้วยกล้องหรือโทรศัท์มือถือ
อาเจะห์เป็นจังหวัดเดียวในอินโดนีเซีย ประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ที่ใช้กฎหมายชารีอะห์ โดยได้รับความยินยอมจากรัฐบาลกลางในกรุงจาการ์ตาเมื่อปี พ.ศ. 2544 อันเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามยุติสงครามแยกดินแดนอาเจะห์เป็นเอกราช ที่มีมานานหลายทศวรรษ
กลุ่มสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ "ฮิวแมน ไรท์ วอทช์" กล่าวว่า การเปลี่ยนสถานที่เฆี่ยนเป็นภายในเรือนจำ เป็นเพียงแค่การหลบเลี่ยง พร้อมกับเรียกร้องทางการอาเจะห์เลิกใช้วิธีการเฆี่ยน และกฎหมายที่อนุญาต เนื่องจากการโบยตีเป็นรูปแบบหนึ่งของทารุณกรรม ไม่ว่าจะกระทำในที่ลับหรือที่แจ้ง
ฮิวแมน ไรท์ วอทช์ ยังเรียกร้องต่อทางการอาเจะห์ ให้ปล่อยตัวประชาชน 4 คน ที่ถูกจับกุมเมื่อเดือน มี.ค. ฐานมีพฤติกรรมรักเพศเดียวกัน และอาจจะถูกลงโทษเฆี่ยนคนละ 100 ที ภายใต้ข้อบังคับของกฎหมายชารีอะห์
ประชาชนหลายร้อยคนถูกเฆี่ยนในที่สาธารณะ นับตั้งแต่การลงโทษด้วยวิธีนี้เริ่มบังคับใช้ในอาเจะห์เมื่อปี 2548 การบังคับใช้กฎหมายศาสนาในอาเจะห์รุนแรงมากขึ้น และครอบคลุมถึงผู้ที่ไม่ใช่ชาวมุสลิมด้วย ในเดือน พ.ค. ปีที่แล้ว อาเจะห์เฆี่ยนชาย 2 คนฐานมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ ซึ่งนับเป็นครั้งแรก ท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากประชาคมโลก เหตุการณ์นี้ทำลายชื่อเสียงความเป็นประเทศมุสลิมสายกลางของอินโดนีเซียอีกครั้ง หลังการจำคุกผู้ว่าการกรุงจาการ์ตา ซึ่งเป็นชาวคริสต์ชนกลุ่มน้อย จากความผิดฐานดูหมิ่นศาสนา.
ภาพ – AFP
คลิปประกอบ – acehvideo.tv
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " อาเจะห์เลิกเฆี่ยนประจานในที่สาธารณะ "