สหรัฐยุติการแบนผู้ลี้ภัยจาก 11 ประเทศ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 30 ม.ค. ว่านางเคิร์สต์เจน นีลเซน รมว.กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐ ( ดีเอชเอส ) กล่าวเมื่อวันจันทร์ ว่ารัฐบาลวอชิงตันยุติมาตรการห้ามผู้ลี้ภัยจาก "กลุ่มประเทศเสี่ยง" ในการเดินทางเข้าสู่สหรัฐ ซึ่งครบกำหนด 90 วันแล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ถือสัญชาติในกลุ่มประเทศเหล่านั้นจะต้องเผชิญกับมาตรการคัดกรอง "เป็นกรณีพิเศษ" ที่จะมี "ความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น"
 

The U.S. will resume letting in refugees from 11 countries, including Syria, Iran and Somalia, but with unspecified additional screening on top of the vetting they already receive https://t.co/Y50UhddNL4

— New York Times World (@nytimesworld) January 30, 2018

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีคำสั่งเมื่อช่วงปลายเดือนต.ค. ปีที่แล้ว ให้ระงับการรับผู้ลี้ภัยจาก "11 ประเทศ" ที่ถือเป็น "กลุ่มเสี่ยงด้านความมั่นคง" เป็นเวลา 90 วัน โดยส่วนใหญ่เป็นประเทศที่อยู่ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ แม้ทางการสหรัฐยังไม่เคยมีการเปิดเผยรายชื่อประเทศทั้งหมดอย่างเป็นทางการ แต่ทุกฝ่ายประเมินไปในทางเดียวกัน ว่าได้แก่ อียิปต์ อิรัก อิหร่าน ลิเบีย มาลี เกาหลีเหนือ โซมาเลีย ซูดานใต้ ซูดาน ซีเรีย และเยเมน ซึ่งเป็นประเทศที่ "มีปัญหา" ด้านนโยบายกับรัฐบาลทรัมป์ และเป็นประเทศที่ผู้นำสหรัฐประกาศอย่างเปิดเผยหลังรับตำแหน่งได้ไม่นาน ว่าต้องการระงับการเข้าเมืองของผู้ถือสัญชาติเหล่านี้

อนึ่ง สถิติของดีเอชเอสระบุว่าตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมานั้น ผู้ลี้ภัยจาก 11 ประเทศข้างต้นมีสัดส่วนรวมกันมากกว่า 40% ของจำนวนผู้ลี้ภัยที่รัฐบาลวอชิงตันอนุมัติการตั้งถิ่นฐานในสหรัฐ ขณะที่รัฐบาลสหรัฐชุดก่อนหน้าทรัมป์ คือในสมัยประธานาธิบดีบารัค โอบามากำหนดโควต้าผู้ลี้ภัยสำหรับปีงบประมาณ 2560 ที่เริ่มเมื่อเดือนต.ค. 2559 ไว้ที่ 110,000 คน ก่อนที่ทรัมป์จะตัดลงกว่าครึ่งให้เหลือ 53,000 คน และจะลดลงอีกเหลือ 48,000 คน ในปีงบประมาณ 2561.