อัยการอิหร่านชี้ซีไอเอวางแผนประท้วงในประเทศ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ว่านายโมฮัมหมัด จาฟาร์ มอนตาเซรี อัยการสูงสุดของอิหร่าน กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี ว่าสถานการณ์ชุมนุมประท้วงในประเทศที่ปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. ที่ผ่านมา ด้วยชนวนจากความไม่พอใจในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ ก่อนจะบานปลายกลายเป็นการจลาจลต่อต้านรัฐบาล จนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 21 คนนั้น เป็นการเคลื่อนไหวที่วางแผนโดยสำนักข่าวกรองกลาง ( ซีไอเอ ) โดยได้รับความสนับสนุนด้านการเงินจากซาอุดีอาระเบีย และข้อมูลด้านข่าวกรองจากอิสราเอล
 

#Iran’s prosecutor general has directly named a CIA official as being the “main designer” of the protests that have shaken the country. The Trump administration has denied having any hand in the protests and the CIA declined to comment. – @AP

— Jon Gambrell جون (@jongambrellAP) January 4, 2018

We will hold Iranian leaders accountable for their destabilizing activities. The entities sanctioned today are involved in Iran’s ballistic missile program, a program that takes valuable resources away from the Iranian people and their daily needs. https://t.co/Yl56Tw7361

— Heather Nauert (@statedeptspox) January 5, 2018

ขณะเดียวกัน มอนตาเซรีกล่าวว่าซีไอเอยังได้รับความร่วมมือจากกลุ่มการเมืองต่อต้านรัฐบาลเตหะรานในต่างประเทศ เพื่อสร้างสถานการณ์ "ที่หลากหลาย" ไม่ว่าจะเป็นการประท้วงเรื่องค่าครองชีพที่แพงขึ้น และการเรียกร้องการเพิ่มสวัสดิการให้กับผู้สูงอายุ โดยหวังให้สถานการณ์รุนแรงและยืดเยื้อถึงไปจนถึงกลางเดือนก.พ. นี้ ซึ่งเป็นช่วงครบรอบการปฏิวัติอิสลาม ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2522 ด้านซีไอเอยังสงวนท่าทีต่อข้อกล่าวหาดังกล่าว ขณะที่ทำเนียบขาวและกระทรวงการต่างประเทศยืนกรานปฏิเสธ "การมีบทบาท" ต่อสถานการณ์วุ่นวายในอิหร่านครั้งนี้ ที่เป็นการลุกฮือของพลังประชาชน "อย่างแท้จริง"

การเดินขบวนของประชาชนฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล ในกรุงเตหะราน

Iran’s Leader: Enemies using all means available to harm Islamic establishment pic.twitter.com/934xKbzZ41

— Press TV (@PressTV) January 2, 2018

The Iranian regime tries desperately to sow hate between Iranians and Israelis. They won't succeed. When this regime finally falls – and one day it will – Iranians and Israelis will be great friends once again. I wish the Iranian people success in their noble quest for freedom. pic.twitter.com/kk8wTYmhnz

— Benjamin Netanyahu (@netanyahu) January 1, 2018

อย่างไรก็ตาม ซีไอเอยอมรับเมื่อปี 2556 ว่าอยู่เบื้องหลังการรัฐประหารล้มอำนาจนายกรัฐมนตรีโมฮัมเหม็ด มอสซาเด็ก ที่เกิดขึ้น 60 ปีก่อนหน้านั้น หรือเมื่อปี 2496  ตามคำขอของสหราชอาณาจักร จากการที่มอสซาเด็กต้องการแปรรูปบริษัทน้ำมันของสหรชอาณาจักรให้กลับมาเป็นของรัฐ ซึ่งการรัฐประหารครั้งนั้นนำไปสู่การฟื้นอำนาจของพระเจ้าชาห์ ก่อนที่จะเกิดการลุกฮือปฏิวัติในปี 2522 ล้มอำนาจพระเจ้าชาห์ที่รัฐบาลวอชิงตันหนุนหลัง และเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับอิหร่านจนถึงปัจจุบัน.