ขายเว็บนี้ ติดต่อ LINE : 0895172266
วันจันทร์, 29 เมษายน 2567

โลกประณามทรัมป์รับเยรูซาเลม ‘เป็นเมืองหลวง’ อิสราเอล

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร เมื่อวันพุธ ว่าด้วยการรับรองสถานะของกรุงเยรูซาเลมเป็น "เมืองหลวงอย่างเป็นทางการ" ของอิสราเอล และให้กระทรวงการต่างประเทศเตรียมการย้ายสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐจากกรุงเทลอาวีฟไปยังกรุงเยรูซาเลม โดยมีรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ เป็นสักขีพยาน
 

I have determined that it is time to officially recognize Jerusalem as the capital of Israel. I am also directing the State Department to begin preparation to move the American Embassy from Tel Aviv to Jerusalem… pic.twitter.com/YwgWmT0O8m

— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) December 6, 2017

ทั้งนี้ ก่อนหน้าการจรดปากกาลงนามของทรัมป์ ที่หมายถึงการเป็นผู้นำสหรัฐคนแรกนับตั้งแต่ประธานาธิบดีบิล คลินตัน ซึ่งปฏิเสธลงนามชะลอการบังคับใช้กฎหมายสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำกรุงเยรูซาเลม ที่สภาคองเกรสลงมติเมื่อปี 2535 ทรัมป์กล่าวว่าการตัดสินใจของเขาในเรื่องนี้เป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้อง เนื่องจากถึงเวลาอย่างยิ่งแล้ว ที่ประชาคมโลกต้องร่วมกับรับรองกรุงเยรูซาเลมในฐานะเมืองหลวงอย่างเป็นทางการของอิสราเอล รัฐเอกราชที่สมควรมี "เมืองหลวง" ดังเช่นรัฐอธิปไตยทุกแห่งบนโลก

อย่างไรก็ตาม ผู้นำสหรัฐกล่าวว่ารัฐบาลวอชิงตันยังคงสนับสนุนการเจรจาสันติภาพระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ตามแนวทาง 2 รัฐ เพื่อนำไปสู่การสถาปนารัฐปาเลสไตน์เคียงคู่กับรัฐอิสราเอล พร้อมทั้งกล่าวตำหนิผู้นำสหรัฐคนก่อนหน้า ทั้งนายบิล คลินตัน นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช และนายบารัค โอบามา ว่าไม่สามารถรักษา "คำมั่นสัญญา" เอาไว้ได้ ด้านนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล กล่าวยกย่องการประกาศของทรัมป์ว่าคือ "วันประวัติศาสตร์" สำหรับอิสราเอล โดยถือเป็น "ก้าวย่างสำคัญสู่การสร้างสันติภาพ" ในตะวันออกกลาง และเรียกร้องให้นานาประเทศเดินตามรอยสหรัฐในเรื่องดังกล่าว

ขณะที่นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) กล่าวตำหนิรัฐบาลวอชิงตันอย่างหนัก ว่าเป็นการตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียวที่ขัดแย้งกับจุดยืนของประชาคมโลกในเรื่องนี้ ที่ยืนยันว่าต้องเป็นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์เท่านั้น และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี ) เตรียมประชุมฉุกเฉินเรื่องนี้ในวันศุกร์ที่ 8 ธ.ค. นี้
 

There is no alternative to the two-state solution: two states living side-by-side in peace, security and mutual recognition – with Jerusalem as the capital of Israel and Palestine. pic.twitter.com/r95LPIZimg

— António Guterres (@antonioguterres) December 6, 2017

ต่อมาประธานาธิบดีมาห์มูด อับบาส ผู้นำปาเลสไตน์ กล่าวว่าสหรัฐไม่อยู่ในสถานะผู้ร่วมสร้างสันติภาพในตะวันออกกลางอีกต่อไป ด้านกลุ่มฮามาสออกแถลงการณ์เตือนว่าทรัมป์กำลัง "เปิดประตูนรก" สำหรับผลประโยชน์ของสหรัฐในตะวันออกกลาง ในขณะที่นานาประเทศในตะวันออกกลางรวมถึงอิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย เลบานอน และจอร์แดน ตลอดจนตุรกี ประสานเสียงประณามการตัดสินใจของทรัมป์เรื่องกรุงเยรูซาเลมและเตือน "การลุกฮือ" ครั้งยิ่งใหญ่ในตะวันออกกลาง ส่วนท่าทีขอองมหาอำนาจในยุโรปคือเยอรมนี ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร ล้วน "ผิดหวัง" และประกาศจุดยืนร่วมกันคัดค้านสหรัฐในเรื่องนี้


 

Hundreds protest outside U.S. consulate in Istanbul over Trump’s Jerusalem decision https://t.co/VFevVKt2sj pic.twitter.com/lFBJVvhGgO

— Ruptly (@Ruptly) December 6, 2017

แม้การย้ายสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐจากกรุงเทลอาวีฟไปยังกรุงเยรูซาเลมต้องใช้เวลาอย่างต่ำประมาณ 3-4 ปี แต่ท่าทีตอบโต้ของประชาชนในตะวันออกกลางนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีรายงานการประท้วงพร้อมทั้งเผาธงชาติสหรัฐ ธงชาติอิสราเอล และภาพของทรัมป์ ในหลายพื้นที่ของปาเลสไตน์และฉนวนกาซา ตลอดจนการชุมนุมประท้วงที่นครอิสตันบูลในตุรกี และในกรุงอัมมาน เมืองหลวงของจอร์แดน เรียกร้องให้รัฐบาลจอร์แดนยุติข้อตกลงสันติภาพปี 2537 กับอิสราเอล และมีการประณามสหรัฐเป็น "มารดาของพวกก่อการร้าย".

ช่าวที่เกี่ยวข้อง : อิสราเอลเตรียมรับเหตุรุนแรง หลังทรัมป์รับรองกรุงเยรูซาเลม
    
   

ที่มาของเนื้อหา : www.dailynews.co.th